เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่?
หลายคนอาจสงสัยว่า เงินสำรองฉุกเฉินที่เหมาะสมควรมีเท่าไหร่ คำตอบนี้ไม่มีตัวเลขตายตัว เพราะโดยปกติ การมีเงินสำรองฉุกเฉินควรเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในช่วง 3–6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับลักษณะชีวิตและความมั่นคงทางการเงินของแต่ละคน ลองมาดูหลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับเงินสำรองฉุกเฉินกันว่ามีอะไรบ้าง
สำหรับผู้มีรายได้ประจำและมั่นคง
หากคุณมีรายได้สม่ำเสมอ เช่น พนักงานประจำ เงินสำรองฉุกเฉินควรครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือนประมาณ 3–6 เดือน
ตัวอย่าง: หากค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคุณอยู่ที่ 20,000 บาท คุณควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 60,000–120,000 บาท
สำหรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน
กรณีที่คุณเป็นฟรีแลนซ์ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือมีรายได้ที่ไม่แน่นอนในแต่ละเดือน เงินสำรองฉุกเฉินควรมีประมาณ 6–12 เดือน
ตัวอย่าง: หากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของคุณคือ 30,000 บาท คุณควรเก็บเงินสำรอง 180,000–360,000 บาท
สำหรับผู้มีภาระครอบครัว
หากคุณมีคนในครอบครัว เช่น บุตรหรือผู้สูงอายุ เงินสำรองฉุกเฉินควรเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เช่น ค่ารักษาพยาบาล
แนะนำ 5 เทคนิคเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน
การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอาจดูเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน แต่ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างเงินสำรองเพื่อความมั่นคงในชีวิตได้ง่ายขึ้น มาดู 5 เทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นและบรรลุเป้าหมายการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ
1.กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในรูปแบบ SMART
Specific (เจาะจง): กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไหร่ เช่น "ฉันต้องการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 100,000 บาท"
Measurable (วัดผลได้): กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้ เช่น "ฉันจะเก็บเงินได้เดือนละ 5,000 บาท"
Achievable (เป็นไปได้): ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และสอดคล้องกับรายได้และค่าใช้จ่าย
Relevant (เกี่ยวข้อง): เป้าหมายต้องมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว
Time-bound (กำหนดเวลา): กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการบรรลุเป้าหมาย เช่น "ฉันจะเก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้ครบภายใน 2 ปี"
ตัวอย่างเป้าหมาย SMART: "ฉันต้องการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 200,000 บาท ภายใน 18 เดือน โดยการออมเดือนละ 10,000 บาท"
2.สร้างงบประมาณและติดตามรายรับ-รายจ่าย
การรู้รายรับและรายจ่ายที่แท้จริงเป็นขั้นตอนสำคัญ คุณควรสร้างงบประมาณโดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน
- ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่าบ้าน
- ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ชอปปิงหรือบันเทิง
- เงินออมสำหรับเงินสำรองฉุกเฉิน
โดยวิเคราะห์รายจ่ายในแต่ละเดือน และลดหรือเลิกค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และควรบันทึกรายรับ-รายจ่ายอยู่เสมอ
3.ออมเงินอัตโนมัติ
ตั้งค่าการโอนเงินอัตโนมัติ: ให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินเดือนไปเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์โดยอัตโนมัติทุกเดือน อาจจะเริ่มต้นจากจำนวนเล็กน้อย เช่น 10% ของรายได้ และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อรายได้สูงขึ้น
ใช้แอปพลิเคชันในการออม: มีแอปพลิเคชันหลายตัวที่ช่วยให้คุณออมเงินได้ง่ายขึ้น เช่น แอปที่สามารถเก็บเงินเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ
4.หาแหล่งรายได้เสริม
การมีรายได้เสริมสามารถช่วยให้คุณเก็บเงินสำรองได้เร็วขึ้น ตัวอย่างแหล่งรายได้เสริม อาทิ การขายของออนไลน์ ทำงานฟรีแลนซ์ รวมถึง ลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
5.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย
ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยอาจจะใช้ระบบ "คิดก่อนซื้อ" โดยตั้งคำถามว่า ของชิ้นนี้จำเป็นจริงไหม เป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือ 5 เทคนิค การเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ที่คุณสามารถวางแผนและเริ่มต้นเก็บเงินได้อย่างมั่นคง และเมื่อคุณมีเงินสำรองที่เพียงพอ มันจะช่วยให้คุณรู้สึกอุ่นใจและพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในทุกสถานการณ์!