คุณอยู่ที่

  • บทความ
  • ผลิตภัณฑ์ธนาคาร
  • ช่องทางบริการธนาคาร
  • เกี่ยวกับเรา
  • บริการช่วยเหลือ
  • ลิงก์ด่วน
ผลิตภัณฑ์ธนาคาร
เกี่ยวกับเรา
Financial Guru
Business Maker
Lifestyle Tips
ลงทุน
บริการโอนเงินระหว่างประเทศ
CIMB THAI App
ข่าวและกิจกรรม

ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การที่เรามี เงินสำรองฉุกเฉิน จะช่วยให้คุณผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ไปได้อย่างราบรื่น บทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 5 เทคนิคการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินเพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์เฉพาะหน้าที่อาจจะเกิดขึ้น

 

เงินสำรองฉุกเฉินคืออะไร ทำไมเราถึงควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน

เงินสำรองฉุกเฉิน คือ เงินที่จัดเตรียมไว้เพื่อใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น เจ็บป่วยกะทันหัน รถเสีย ต้องซ่อมแซมบ้าน หรือแม้กระทั่งการสูญเสียรายได้กะทันหันจากการตกงาน เงินก้อนนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของการวางแผนการเงิน เพราะมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการเงินที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้คุณสามารถจัดการกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องกู้ยืมหรือดึงเงินจากบัญชีที่ใช้สำหรับเป้าหมายระยะยาว เช่น การลงทุนหรือการเก็บเงินเพื่อเกษียณ

ทำไมทุกคนควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน

1.ช่วยลดความเครียดทางการเงิน

การมีเงินสำรองฉุกเฉินช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า คุณสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน  

2.ป้องกันการก่อหนี้เพิ่ม  

เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การมีเงินสำรองจะช่วยให้คุณไม่ต้องพึ่งพาการกู้หนี้ยืมสินจากผู้อื่น ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้สินในระยะยาว  

3.สร้างความมั่นคงในชีวิตประจำวัน  

เงินสำรองฉุกเฉินช่วยให้คุณสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องกระทบเป้าหมายการเงินอื่น เช่น ค่าใช้จ่ายประจำ การออม หรือการลงทุน  

4.เป็นแหล่งเงินสำรองในกรณีตกงาน 

การมีเงินสำรองช่วยให้คุณมีเวลาในการหางานใหม่โดยไม่ต้องเร่งรีบหรือรับข้อเสนอที่ไม่เหมาะสมเพียงเพราะต้องการเงิน  

5.สร้างวินัยทางการเงิน 

การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินช่วยสร้างนิสัยการออมที่ดี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการบริหารการเงินที่มีประสิทธิภาพ  

 

 

เงินสำรองฉุกเฉินควรมีเท่าไหร่?

หลายคนอาจสงสัยว่า เงินสำรองฉุกเฉินที่เหมาะสมควรมีเท่าไหร่ คำตอบนี้ไม่มีตัวเลขตายตัว เพราะโดยปกติ การมีเงินสำรองฉุกเฉินควรเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในช่วง 3–6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับลักษณะชีวิตและความมั่นคงทางการเงินของแต่ละคน ลองมาดูหลักเกณฑ์ทั่วไปเกี่ยวกับเงินสำรองฉุกเฉินกันว่ามีอะไรบ้าง

สำหรับผู้มีรายได้ประจำและมั่นคง

หากคุณมีรายได้สม่ำเสมอ เช่น พนักงานประจำ เงินสำรองฉุกเฉินควรครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือนประมาณ 3–6 เดือน

ตัวอย่าง: หากค่าใช้จ่ายต่อเดือนของคุณอยู่ที่ 20,000 บาท คุณควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 60,000–120,000 บาท

สำหรับผู้มีรายได้ไม่แน่นอน

กรณีที่คุณเป็นฟรีแลนซ์ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือมีรายได้ที่ไม่แน่นอนในแต่ละเดือน เงินสำรองฉุกเฉินควรมีประมาณ 6–12 เดือน

ตัวอย่าง: หากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของคุณคือ 30,000 บาท คุณควรเก็บเงินสำรอง 180,000–360,000 บาท

สำหรับผู้มีภาระครอบครัว

หากคุณมีคนในครอบครัว เช่น บุตรหรือผู้สูงอายุ เงินสำรองฉุกเฉินควรเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เช่น ค่ารักษาพยาบาล

 

แนะนำ 5 เทคนิคเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน

การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอาจดูเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน แต่ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างเงินสำรองเพื่อความมั่นคงในชีวิตได้ง่ายขึ้น มาดู 5 เทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นและบรรลุเป้าหมายการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ  

1.กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในรูปแบบ SMART

  • Specific (เจาะจง): กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไหร่ เช่น "ฉันต้องการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 100,000 บาท"

  • Measurable (วัดผลได้): กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้ เช่น "ฉันจะเก็บเงินได้เดือนละ 5,000 บาท"

  • Achievable (เป็นไปได้): ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และสอดคล้องกับรายได้และค่าใช้จ่าย

  • Relevant (เกี่ยวข้อง): เป้าหมายต้องมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว

  • Time-bound (กำหนดเวลา): กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการบรรลุเป้าหมาย เช่น "ฉันจะเก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้ครบภายใน 2 ปี"

ตัวอย่างเป้าหมาย SMART: "ฉันต้องการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 200,000 บาท ภายใน 18 เดือน โดยการออมเดือนละ 10,000 บาท"

2.สร้างงบประมาณและติดตามรายรับ-รายจ่าย

การรู้รายรับและรายจ่ายที่แท้จริงเป็นขั้นตอนสำคัญ คุณควรสร้างงบประมาณโดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน  

- ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่าบ้าน  

- ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ชอปปิงหรือบันเทิง  

- เงินออมสำหรับเงินสำรองฉุกเฉิน  

โดยวิเคราะห์รายจ่ายในแต่ละเดือน และลดหรือเลิกค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และควรบันทึกรายรับ-รายจ่ายอยู่เสมอ

3.ออมเงินอัตโนมัติ

  • ตั้งค่าการโอนเงินอัตโนมัติ: ให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินเดือนไปเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์โดยอัตโนมัติทุกเดือน อาจจะเริ่มต้นจากจำนวนเล็กน้อย เช่น 10% ของรายได้ และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อรายได้สูงขึ้น  

  • ใช้แอปพลิเคชันในการออม: มีแอปพลิเคชันหลายตัวที่ช่วยให้คุณออมเงินได้ง่ายขึ้น เช่น แอปที่สามารถเก็บเงินเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ 

4.หาแหล่งรายได้เสริม

การมีรายได้เสริมสามารถช่วยให้คุณเก็บเงินสำรองได้เร็วขึ้น ตัวอย่างแหล่งรายได้เสริม อาทิ การขายของออนไลน์ ทำงานฟรีแลนซ์ รวมถึง ลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้  

5.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย

ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยอาจจะใช้ระบบ "คิดก่อนซื้อ" โดยตั้งคำถามว่า ของชิ้นนี้จำเป็นจริงไหม เป็นต้น

ทั้งหมดนี้คือ 5 เทคนิค การเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ที่คุณสามารถวางแผนและเริ่มต้นเก็บเงินได้อย่างมั่นคง และเมื่อคุณมีเงินสำรองที่เพียงพอ มันจะช่วยให้คุณรู้สึกอุ่นใจและพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในทุกสถานการณ์!

 

 

เงินสำรองฉุกเฉิน ควรเก็บไว้ในสินทรัพย์ทางการเงินชนิดใด

เมื่อคุณสะสมเงินสำรองฉุกเฉินได้ในระดับที่เพียงพอ ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกสถานที่เก็บเงินสำรองฉุกเฉินในสินทรัพย์ที่เหมาะสม สินทรัพย์เหล่านี้ควรมีลักษณะเด่นคือ สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ และสามารถถอนเงินออกมาได้ง่ายเมื่อต้องการใช้งาน แล้วเงินสำรองฉุกเฉิน ควรเก็บไว้ในสินทรัพย์ทางการเงินชนิดใด เรามีคำตอบ

1.เก็บเงินสำรองฉุกเฉินในบัญชีออมทรัพย์ 

ข้อดี : สามารถถอนเงินได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่มีความเสี่ยง เหมาะสำหรับการเก็บเงินสำรองในระยะสั้น

ข้อเสีย : อัตราดอกเบี้ยต่ำ

2.เก็บเงินสำรองฉุกเฉินกับกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ

ข้อดี: มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าบัญชีออมทรัพย์ ลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลาย

ข้อเสีย : อาจมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ควรเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น

3.เก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ 

ข้อดี : ความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์

ข้อเสีย : ราคาของตราสารหนี้มีความผันผวน

การเลือกสินทรัพย์ในการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ควรพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระยะเวลาที่ต้องการใช้เงิน และสภาพคล่องที่ต้องการ โดยทั่วไปแล้ว บัญชีออมทรัพย์ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและความปลอดภัยสูง แต่หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเล็กน้อย อาจพิจารณา กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือ ตราสารหนี้ เป็นต้น

 

แล้วเราจะนำเงินสำรองฉุกเฉิน เก็บไว้ที่ไหนดี แนะนำให้ลองเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน ผ่านบริการซื้อขายตราสารหนี้ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ที่คัดสรรพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี หลากหลายให้เลือก ในทุก ๆ วัน ลงทุนในหุ้นกู้อย่างมั่นใจ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญและพนักงานแนะนำการลงทุนเรื่องหุ้นกู้พร้อมให้คำปรึกษา ลงทุนที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ผ่านแอป CIMB THAI สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 02 638 8277 หรือ คลิกที่นี่ เพราะหุ้นกู้ดีดีมีได้ทุกวัน

 


คุณอาจสนใจ