ลงทุนในกองทุนรวม ซื้อประกันชีวิต ลดหย่อนภาษีได้ไหม อย่างไรบ้าง
การลงทุน และ การซื้อประกันชีวิต เป็นวิธียอดนิยมของการ ลดหย่อนภาษี บุคคลธรรมดา เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระทางภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว รวมถึงคุ้มครองชีวิตของเราและคนที่คุณรักอีกด้วย
ลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนในกองทุนรวม
กองทุนรวมเป็นหนึ่งในช่องทางการลงทุนที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีความหลากหลายของสินทรัพย์ให้เลือก และยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย กองทุนรวมที่นิยมนำมาลดหย่อนภาษี ได้แก่
1.SSF (Super Savings Fund)
กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาวที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ โดยผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนใน SSF มาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม SSF นั่นก็คือ ลดหย่อนภาษีได้สูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินระยะยาว ความเสี่ยงในการลงทุนค่อนข้างหลากหลาย แต่จะมีเงื่อนไขนั่นก็คือ ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 10 ปี และ ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับตลาดทุน
2.RMF (Retirement Mutual Fund)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการออมเพื่อเกษียณ โดยผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนใน RMF มาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยต้องรวมกับเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม RMF นั่นก็คือ เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณ แต่จะมีเงื่อนไขนั่นก็คือต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี (ยกเว้นปีที่ไม่มีรายได้) และจะต้องถือหน่วยลงทุนจนมีอายุ 55 ปีขึ้นไป
ลดหย่อนภาษีด้วยการซื้อประกันชีวิตและสุขภาพ
นอกจากกองทุนรวมแล้ว ประกันชีวิตและสุขภาพก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากนอกจากจะให้ความคุ้มครองแล้ว ยังสามารถนำเบี้ยประกันบางส่วนมาหักลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองชีวิต ซึ่งเบี้ยประกันบางส่วนสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีระยะเวลาคุ้มครองอย่างน้อย 10 ปี และ ไม่รวมประกันชีวิตประเภทเงินฝาก (เช่น ประกันชีวิตที่มีการจ่ายคืนเงินทุกปี)
ประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเบี้ยประกันส่วนหนึ่งสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท แต่รวมกับค่าลดหย่อนประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้เงื่อนไขเบี้ยประกันสุขภาพต้องเกี่ยวข้องกับค่ารักษาพยาบาลหรือการคุ้มครองด้านสุขภาพเท่านั้น
3.ประกันบำนาญ
ประกันที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินบำนาญเมื่อถึงอายุเกษียณ ซึ่งเบี้ยประกันบางส่วนสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ หรือไม่เกิน 200,000 บาท โดยประกันบำนาญจะมีเงื่อนไขระยะเวลาคุ้มครองต้องไม่ต่ำกว่า 10 ปี ลดหย่อนรวมกับ RMF, PVD และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
นอกจากการลดหย่อนภาษีจากค่าลดหย่อนส่วนบุคคล การลงทุน และประกันชีวิตแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้อีกหลายประเภท ซึ่งบางส่วนเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือเพื่อประโยชน์ทางสังคม เช่น
สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นดอกเบี้ยจากเงินกู้เพื่อซื้อ สร้าง หรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเท่านั้น ผู้กู้ต้องเป็นเจ้าของบ้านหรือมีชื่อในสัญญากู้ และต้องมีหลักฐานการชำระดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน
2. ค่าเล่าเรียนบุตร
การสนับสนุนการศึกษาของบุตรเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาทต่อบุตรหนึ่งคน โดยมีเงื่อนไขว่าต้องศึกษาอยู่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการอายุไม่เกิน 25 ปี และยังไม่ได้สมรส
3. ค่าใช้จ่ายสำหรับการบริจาค
การบริจาคเงิน นอกจากจะช่วยเหลือสังคมแล้ว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทการบริจาค โดยมีเงื่อนไขลดหย่อนได้ตามจำนวนที่บริจาคจริง แต่รวมทั้งหมดต้องไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อน เช่น บริจาคให้มูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรที่จดทะเบียนถูกต้อง การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
การบริจาคเพื่อการศึกษาและการสาธารณประโยชน์
ลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่ต้องไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อน เช่น บริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา เช่น การสร้างห้องสมุดหรือทุนการศึกษา