รีไฟแนนซ์เสียค่าอะไรบ้าง
แม้การรีไฟแนนซ์บ้านจะช่วยให้คุณลดภาระดอกเบี้ยและปรับแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม แต่ก็มีค่าใช้จ่ายหลายอื่น ๆ ที่ควรรู้ มาดูกันว่า รีไฟแนนซ์เสียค่าอะไรบ้าง
1. ค่าธรรมเนียมการกู้เงินใหม่
ค่าธรรมเนียมการกู้เงินใหม่เป็นค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากธนาคารใหม่ที่คุณทำการรีไฟแนนซ์ด้วย ค่าธรรมเนียมนี้บางครั้งเรียกว่า “ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้” หรือ “ค่าธรรมเนียมอนุมัติสินเชื่อ” และจะขึ้นอยู่กับวงเงินสินเชื่อที่ขอใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนเงินที่ขออนุมัติ เช่น 0.5-1% ของวงเงินกู้ โดยค่าธรรมเนียมนี้อาจมีขั้นต่ำหรือสูงสุดที่ธนาคารกำหนดไว้
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากขอสินเชื่อ 1,000,000 บาท และธนาคารเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 0.5% คุณจะต้องจ่าย 5,000 บาท เป็นค่าธรรมเนียมการกู้เงินใหม่
2. ค่าประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์
ในการรีไฟแนนซ์บ้าน ธนาคารจะต้องทำการประเมินมูลค่าทรัพย์สินอีกครั้งเพื่อตรวจสอบมูลค่าตลาดของบ้านและหลักประกันที่คุณใช้ในการขอสินเชื่อ ซึ่งค่าประเมินนี้เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ผู้กู้ต้องจ่าย โดยอัตราค่าประเมินจะแตกต่างกันไปตามธนาคารและประเภทของทรัพย์สิน
3. ค่าประกันภัย
ค่าประกันภัยในการรีไฟแนนซ์บ้านมักประกอบไปด้วยการประกันสองประเภทหลัก ได้แก่
ค่าประกันอัคคีภัย (Fire Insurance)
ธนาคารจะกำหนดให้ผู้กู้ต้องทำประกันอัคคีภัยเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับบ้าน โดยค่าเบี้ยประกันนี้จะคำนวณตามมูลค่าของทรัพย์สิน ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณหลักพันบาทขึ้นไปต่อปี ขึ้นอยู่กับขนาดและมูลค่าบ้าน
ค่าประกันสินเชื่อ (MRTA/MLTA)
สำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติม บางธนาคารอาจเสนอให้ผู้กู้ทำประกันชีวิตผู้กู้สินเชื่อ (Mortgage Reducing Term Assurance - MRTA หรือ Mortgage Level Term Assurance - MLTA) ซึ่งเป็นการประกันสินเชื่อที่ครอบคลุมการชำระหนี้ในกรณีที่ผู้กู้เกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้ทายาทหรือครอบครัวไม่ต้องรับภาระหนี้สิน โดยค่าเบี้ยประกันนี้จะขึ้นอยู่กับอายุผู้กู้และวงเงินกู้
การทำ Retention คืออะไร?
Retention คือ การเจรจากับธนาคารเดิมเพื่อปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ต้องย้ายสินเชื่อไปยังธนาคารใหม่ เป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับเจ้าของบ้านที่ไม่ต้องการย้ายธนาคาร ซึ่งสามารถทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรีไฟแนนซ์ ข้อดีของ Retention มีดังนี้
ลดความยุ่งยากในขั้นตอนการดำเนินการ : ไม่ต้องมีการประเมินหลักทรัพย์ใหม่หรือจดจำนองใหม่กับธนาคารใหม่ ซึ่งทำให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
ลดค่าใช้จ่าย : การทำ Retention มักมีค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่มีเลย ซึ่งต่างจากการรีไฟแนนซ์ที่มักมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมจดจำนองใหม่ เป็นต้น
สะดวกและรวดเร็ว : การทำ Retention สามารถทำได้รวดเร็วกว่าเพราะยังคงใช้ธนาคารเดิม ซึ่งอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการปรับอัตราดอกเบี้ยหรือเงื่อนไขใหม่
ควรเลือก รีไฟแนนซ์ หรือ Retention ดี?
การตัดสินใจว่าจะเลือก รีไฟแนนซ์ หรือ Retention ดีนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อัตราดอกเบี้ยที่เสนอมา เงื่อนไขของแต่ละธนาคาร และความต้องการส่วนบุคคลของคุณเอง ก่อนตัดสินใจ ควรเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายๆ ธนาคาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุด