มีวิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของ มัลแวร์ ได้อย่างไร
มัลแวร์ทั้ง 4 ตัวที่ได้กล่าวไป ล้วนแล้วแต่สร้างความเสียหายต่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก และนี่คือวิธีการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมัลแวร์อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ระมัดระวังในการเปิดอีเมลและลิงก์ที่ไม่รู้จัก
อีเมลฟิชชิ่งและลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือเป็นวิธีที่สแกมเมอร์ใช้เพื่อส่งมัลแวร์มายังคอมพิวเตอร์ของคุณ ควรระมัดระวังในการเปิดอีเมลจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก และไม่คลิกลิงก์ที่แนบมากับอีเมลหากไม่แน่ใจว่าเป็นลิงก์ที่ปลอดภัย
2. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและอัปเดตอยู่เสมอ
โปรแกรมป้องกันไวรัสเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยป้องกันมัลแวร์จากการเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของคุณ ควรเลือกใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีความน่าเชื่อถือและมีการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ โปรแกรมป้องกันไวรัสจะช่วยสแกนและกำจัดมัลแวร์ก่อนที่จะทำความเสียหายต่อระบบ
3. สำรองข้อมูลเป็นประจำ
การสำรองข้อมูลเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันการสูญหายของข้อมูลสำคัญ หากคอมพิวเตอร์ของคุณติดมัลแวร์ การมีสำรองข้อมูลจะช่วยให้คุณสามารถกู้คืนข้อมูลกลับมาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาและเงินในการกู้ข้อมูล และหากข้อมูลของคุณถูกบันทึกไว้ใน แฟลชไดร์ฟ (USB) หรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออื่น ๆ แนะนำให้สแกนไวรัสทุกครั้งก่อนใช้งาน
4. หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
การดาวน์โหลดไฟล์หรือโปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มัลแวร์สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของคุณได้ ควรหลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่รู้จักและไม่แน่ใจ
Scammers คืออะไร
สแกมเมอร์คือผู้ที่ใช้วิธีการหลอกลวงผ่านทางอินเทอร์เน็ตเพื่อหาประโยชน์จากเหยื่อ โดยรูปแบบการหลอกลวงของสแกมเมอร์มีหลากหลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป เช่น
1. ฟิชชิ่ง (Phishing)
เป็นการหลอกลวงผ่านทางอีเมลหรือข้อความ โดยผู้หลอกลวงจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น ธนาคารหรือเว็บไซต์ที่ผู้ใช้คุ้นเคย เพื่อขอให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน เมื่อเหยื่อตอบกลับข้อมูล ผู้หลอกลวงก็จะนำข้อมูลนั้นไปใช้ในทางที่ผิด
2. การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Scams)
เป็นการสร้างบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมที่แอบอ้างเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก เพื่อขอเงินหรือข้อมูลส่วนตัว อีกทั้งยังมีการหลอกลวงผ่านโฆษณาปลอมบนโซเชียลมีเดีย ที่เสนอสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นความจริง
3. การหลอกลวงทางการเงิน (Financial Scams)
สแกมเมอร์อาจใช้วิธีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือหน่วยงานทางการเงิน เพื่อขอข้อมูลบัญชีธนาคารหรือรหัสผ่าน อีกทั้งยังมีการหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้หลอกลวง โดยอ้างว่าเป็นการตรวจสอบหรือการยืนยันตัวตน
4. การหลอกลวงผ่านการขายของออนไลน์ (Online Shopping Scams)
สแกมเมอร์อาจสร้างเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้ซื้อ โดยเสนอสินค้าราคาถูกหรือสินค้าที่มีความต้องการสูง เมื่อเหยื่อทำการสั่งซื้อและชำระเงิน สินค้าที่สั่งซื้ออาจไม่ถูกส่งมา หรือเป็นสินค้าที่ไม่ตรงกับคำโฆษณา