Search
Back
เกี่ยวกับเรา  
รางวัล  
ข่าวและกิจกรรม  
บริการโอนเงินระหว่างประเทศ  
โปรโมชั่นล่าสุด  
CIMB THAI App  
CIMB THAI Connect  
บริการแจ้งเตือนผ่าน SMS  
พร้อมเพย์  
บริการเปิดบัญชีด้วยการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (NDID)  
การขอและรับส่งข้อมูลรายการเคลื่อนไหวบัญชีเงินฝาก ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลระหว่างธนาคาร (dStatement)  
บริการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (NDID) เพื่อทำธรุกรรมออนไลน์กับกรมสรรพากร  
ติดต่อเรา  
สาขาธนาคาร  
ข้อมูลคุณภาพการให้บริการ  
คำมั่นสัญญาการให้บริการลูกค้าธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย  
อัตราและค่าธรรมเนียม  
Form Download Center  
You're viewing:
ลูกค้าบุคคล
Other Sites
เกี่ยวกับเรา
การกำกับดูแล
ทีมผู้บริหาร
นักลงทุนสัมพันธ์
ความยั่งยืน
ผลิตภัณฑ์ธนาคาร
เงินฝาก
บัตร
ประกัน
สินเชื่อ
การบริหารความมั่งคั่ง
การลงทุน
TH

 

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย สนับสนุนการจัดการทรัพยากรทางการเงินเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า

 

 

    คุณ เจสัน ลี (Jason Lee) ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนที่ได้รับการรับรองจาก GRI ซึ่งขับเคลื่อนวาระ ESG และความยั่งยืนในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายความยั่งยืนของธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หนึ่งในสมาชิกกลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า “ปัญหาการจัดการด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมในปัจจุบัน ล้วนเป็นผลจากการกระทำในอดีต อาทิ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากอุตสาหกรรม ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแก้ไขและเยียวยาเพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการลด ละ เลี่ยงอันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับโลกของเรา และลูกหลานในอนาคต”

 

    การสร้างอนาคตที่ดีขึ้นนั้น ต้องใช้ทรัพยากรทางการเงินจำนวนมาก ตามรายงานที่เผยแพร่ระหว่างการประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติ (COP 27) ปี 2565 ระบุว่า ประเทศที่กำลังพัฒนา 1 ประเทศจะต้องใช้เงินทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพื่อให้สามารถบรรลุแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีสได้

 

    ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เล็งเห็นความสำคัญของการจัดการทรัพยากรทางการเงินเพื่อเป็นทุนในการดำเนินการและเพื่อให้แผนงานบรรลุวัตถุประสงค์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมี 3 วิธี ดังนี้

 

วิธีแรก การลงทุนในตราสารหนี้ความยั่งยืนและการลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบส่งผลให้เกิดแรงขับเคลื่อนในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เร่งด่วนที่สุดในโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มขึ้นของแรงผลักดันในการสร้างผลกระทบเชิงบวกผ่านตลาดตราสารหนี้ความยั่งยืน ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญต่อธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการวัดผลที่ดีขึ้น

    The Climate Bonds Initiative (CBI) รายงานว่า ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) ตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน(Sustainability-Linked Bond) และ ตราสารหนี้การเปลี่ยนผ่าน (Transition Bond) มีปริมาณการซื้อขาย 3.5 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ณ วันสิ้นรอบไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ตราสารหนี้เหล่านี้เรียกอีกอย่างว่าตราสารหนี้ "Use of Proceed Bond"

    หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนสามารถออกตราสารหนี้เพื่อเพิ่มทุนและทรัพยากรทางการเงินที่จำเป็นในการดำเนินการเบื้องต้นเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมเฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที และเพื่อเป็นทุนสนับสนุนโครงการเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สำหรับนักลงทุนแล้วเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้มีไว้ให้ลงทุนเพื่อสภาพคล่องในระยะยาว โดยนักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน

    หลักการของตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond Principles) ของสมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ (ICMA) สนับสนุนให้ผู้ออกตราสารหนี้เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนซึ่งส่งเสริมเศรษฐกิจที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

    ผู้ออกตราสารหนี้จะต้องรายงานการใช้เงินที่ได้รับจากการระดมทุนจากตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความโปร่งใสและสร้างความสะดวกในการติดตามเงินทุน เช่นเดียวกับตราสารหนี้เพื่อสังคมและตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน

    ตราสารหนี้ "Use of Proceed Bonds" เหล่านี้จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบเช่นเดียวกับตราสารหนี้อื่น ๆ แต่บางครั้งจะมีให้คะแนนด้าน ESG เพิ่มเติมเพื่อแสดงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ได้สะท้อนให้เห็นในการวัดผลการดำเนินงานทางการเงินแบบดั้งเดิม

    ณ สิ้นปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยได้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนเพื่อเป็นทุนสนับสนุนโครงการด้านความยั่งยืน โดยมีปริมาณสะสมอยู่ที่ 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ

    ดังนั้น เราสามารถลงทุนในตราสารหนี้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสังคม หรือเพื่อความยั่งยืน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรทางการเงินเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า

 

วิธีที่สอง เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและประชาชน ใช้รายได้จากภาษีส่วนบุคคลและภาษีธุรกิจเป็นทุนสนับสนุนกิจกรรมของรัฐบาล รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN-SDGs) อย่างไรก็ตาม ประชาชนบางส่วนอาจกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของการจัดสรรงบประมาณภาครัฐ หากรัฐบาลจัดสรรงบประมาณไม่รอบคอบอาจทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

วิธีที่สาม การบริจาคให้กับมูลนิธิการกุศลหรือองค์การนอกภาครัฐ (NGO) โดยผู้บริจาคเงินสามารถนำจำนวนเงินบริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ จากรายงาน ณ สิ้นปี พ.ศ. 2564 พบว่ามี NGO ในท้องถิ่นมากกว่า 25,000 แห่งและ NGO ต่างประเทศ 87 แห่งในประเทศไทย แม้ว่าจะมีมูลนิธิและ NGO มากมาย แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการไหลของเงิน ทั้งนี้เนื่องจากแหล่งที่มาของเงินทุนและการใช้เงินที่ได้รับบางครั้งก็ไม่ได้มีการเปิดเผยอย่างครบถ้วน

    เมื่อกล่าวถึงประเด็นด้านภาษีและเงินบริจาคเพื่อการกุศล เราได้แต่หวังว่าเงินจำนวนมากมายที่มอบให้กองทุนของรัฐบาลหรือ NGO จะถูกนำไปใช้อย่างเหมาะสม  และทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งยังมีธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น มีความโปร่งใสมากขึ้น และได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน