You Are In

  • Why Us
  • Wealth Solutions
  • Market Perspective
  • How to become CIMB Preferred
  • Help & Support
  • Quicklink
CIMB Rewards Program
Preferred Promotions
Events and Seminars
Know Your Risk Appetite
Wealth Solution Products
2025 Outlook
Monthly Investment
Highlighted Fund
Mutual Fund
Quarterly Outlook
Lifestyle
Structured Debenture
Financial Planning

สหรัฐฯ-จีนพักรบการค้าชั่วคราว 90 วัน หนุนตลาดโลกฟื้นคึกคัก

 

หลังจากสงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกาและจีน ยืดเยื้อมาหลายปีและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก ล่าสุดทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่าจะ “พักรบ” ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน เพื่อลดความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น

 

แม้จะเป็นเพียงข้อตกลงระยะสั้น แต่การพักรบครั้งนี้เพียงพอที่จะ สร้างแรงบวกให้กับตลาดการเงินทั่วโลกอย่างชัดเจน ทั้งในด้านดัชนีหุ้น ค่าเงิน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน

 

 

รายละเอียดข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน มีดังนี้

 

1.สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 30%

 

ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยี เครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในบ้าน และสินค้าบริโภคบางประเภท เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และของเล่น รวมกว่า 6,000 รายการ ภายใต้กลุ่มมาตรการ “Section 301”

 

การลดภาษีจากระดับสูงสุด 145% เหลือ 30% ในครั้งนี้ หมายความว่า ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากจีนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้รับผลดีโดยตรง เพราะจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าปลีกในประเทศ

 

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ทันที เช่น:

 

  • ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (ที่นำเข้าส่วนประกอบจากจีน)
  • ธุรกิจค้าปลีกที่พึ่งพาสินค้าจากจีน เช่น Walmart, Amazon

 

กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่ต้องใช้ชิ้นส่วนจากจีนจำนวนมาก

 

2.จีนลดภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10%

 

ทางด้านจีนประกาศลดภาษีตอบโต้สินค้าจากสหรัฐฯ ที่เคยเก็บในอัตราสูงถึง 125% เหลือเพียง 10% ครอบคลุมสินค้าสำคัญของสหรัฐฯ เช่น:

 

  • ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด (สินค้าเกษตรหลัก)
  • เนื้อวัว เนื้อหมู และผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป
  • รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์
  • สินค้าเทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์ IT, เซนเซอร์, และวงจรรวม

 

การลดภาษีครั้งนี้ถือเป็น ท่าทีสร้างสรรค์จากจีน ที่ต้องการฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้า และยังเป็นการช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากสงครามการค้า โดยเฉพาะในรัฐที่เป็นฐานเสียงของทรัมป์

 

นอกจากนี้ยังส่งผลให้ผู้บริโภคชาวจีนสามารถเข้าถึงสินค้าอเมริกันได้ในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของการนำเข้าในระยะสั้น

 

3.จีนถอน "แร่หายาก" 7 รายการ ออกจากรายการควบคุมการส่งออก

 

หนึ่งในจุดเปราะบางที่สุดของสหรัฐฯ คือ การพึ่งพา “แร่หายาก” (Rare Earth Elements) จากจีน ซึ่งใช้ในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น:

  • สมาร์ตโฟน แบตเตอรี่ ลิเธียม
  • อุปกรณ์ทหาร เช่น ระบบนำวิถี เรดาร์
  • ชิ้นส่วนในรถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานสะอาด
     

จีนถือครองกำลังการผลิตแร่หายากกว่า 80% ของโลก โดยเคยใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเพื่อเป็น “ไพ่ต่อรอง” ในสงครามการค้า โดยในข้อตกลงนี้ จีนยอม ถอนแร่หายาก 7 รายการออกจากรายการควบคุมการส่งออก เช่น Neodymium, Dysprosium, Terbium, และ Lanthanum เพื่อเปิดทางให้บริษัทอเมริกันสามารถนำเข้าวัตถุดิบได้สะดวกมากขึ้น ลดแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าจีนต้องการหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างแรงกดดันจากประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ

 

4. ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ

 

นอกเหนือจากภาษี ทั้งสองฝ่ายยังได้ตกลงยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) ที่ใช้ตอบโต้กันก่อนหน้านี้ ได้แก่:

 

  • การจำกัดโควตาการนำเข้าสินค้าเฉพาะประเภท เช่น โควตานำเข้าข้าวสาลีจากสหรัฐฯ ของจีน
  • กฎระเบียบทางเทคนิคหรือสุขอนามัย ที่เข้มงวดจนทำให้สินค้าอีกฝ่ายไม่สามารถเข้าตลาดได้ เช่น การอ้างเรื่องมาตรฐานปลอดสารตกค้างของเนื้อวัว หรือการตรวจเข้มพิเศษในด่านศุลกากร
  • การจำกัดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีและโทรคมนาคม
  •  

การยกเลิกมาตรการเหล่านี้จะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถกลับมาทำการค้าระหว่างกันได้ใกล้เคียงภาวะปกติมากขึ้น

 

อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงข้อตกลงชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้กับการเจรจา ไม่ใช่การยกเลิกสงครามทางการค้าโดยสิ้นเชิง โดยฝั่งสหรัฐฯ ได้ออกมาเน้นย้ำว่า หากจีนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไม่มีความคืบหน้าใน 90 วันข้างหน้า มาตรการภาษีจะกลับมาถูกใช้อีกครั้ง แต่จะไม่เท่าเดิม

 

 

ผลกระทบและแนวโน้ม

 

หนึ่งในผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดคือ การลดความเสี่ยงที่กระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโลก การที่ทั้งสองประเทศยินยอมถอยคนละก้าว และชะลอมาตรการภาษีที่รุนแรงลง ทำให้ตลาดผ่อนคลายลง นักลงทุนมีความมั่นใจในการวางแผนธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ในระยะสั้นจึงช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินโลกได้

 

ผลที่ตามมาอย่างเป็นรูปธรรม คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นทันที โดยเฉพาะดัชนีที่เคยถูกกดดันจากข่าวความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ การฟื้นตัวนี้สะท้อนความเชื่อมั่นใหม่ของนักลงทุน ที่เริ่มมองว่าการเจรจาจะเป็นทางออกที่เกิดขึ้นได้จริง แทนที่จะเป็นความขัดแย้งแบบยืดเยื้อ

 

ในด้านอุตสาหกรรมเฉพาะ ข้อตกลงนี้ยังเป็นสัญญาณบวกอย่างยิ่งต่อภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ เนื่องจากจีนได้ยอมถอน “แร่หายาก” 7 รายการออกจากบัญชีควบคุมการส่งออก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของหลายอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) การปลดล็อกครั้งนี้ ช่วยให้ซัพพลายเชนของเทคโนโลยีสหรัฐฯ สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงด้านต้นทุนและการหยุดชะงักของสายการผลิต

 

นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวยังช่วยลดแรงกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการเร่งลดดอกเบี้ยมากเกินไป เพราะว่า หากสถานการณ์ดีขึ้นจริง Fed จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบ ไม่จำเป็นต้องเร่งกระตุ้นแบบเร่งด่วน ซึ่งอาจลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพในระยะยาว

 

อย่างไรก็ดี แม้จะมีผลดีหลายด้าน แต่มี ความไม่แน่นอน หลายประเด็นที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม เพราะข้อตกลงนี้ไม่ใช่ "การแก้ไขปัญหาอย่างถาวร" แต่เป็นเพียงการซื้อเวลา 90 วันเท่านั้น หากการเจรจาในช่วงเวลานี้ไม่ประสบความสำเร็จ สหรัฐฯ อาจกลับมาใช้มาตรการภาษีในระดับที่สูงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ความไม่แน่นอนกลับมาในทันที ในแง่ของภาษี แม้จะมีการปรับลดลง แต่ระดับภาษีที่ยังคงอยู่ที่ 30% (จากเดิมสูงสุด 145%) ถือว่าสูงกว่าช่วงก่อนสงครามการค้า หมายความว่า ธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าส่งออกยังคงเผชิญกับต้นทุนที่สูง และอาจไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ ข้อตกลงนี้ยังไม่แตะต้องประเด็นเชิงลึกที่เป็น “แก่นแท้” ของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน เช่น ความมั่นคงทางเทคโนโลยี การแข่งขันด้าน AI และการตั้งกฎเกณฑ์การค้าระดับโลก ดังนั้น แม้ภายนอกจะดูสงบลง แต่รากฐานของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข และมีโอกาสจะกลับมาอีกในอนาคต

 

สุดท้าย ควรจับตาท่าทีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งยังคงรักษาจุดยืนที่แข็งกร้าวอยู่ และมีแนวโน้มปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีเลือกตั้ง นั่นหมายความว่า แม้จะมีข้อตกลง แต่ความเสี่ยงเชิงนโยบายจากฝั่งสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยที่คาดเดาได้ยาก

 

คำแนะนำการลงทุน

 

สำหรับนักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนหุ้นจีนในพอร์ต แนะนำปรับกลยุทธ์ คือ ปรับพอร์ตเชิงรุกบ้างบางส่วน เน้นธีมที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลง เช่น เทคโนโลยี, การส่งออก เนื่องจากตลาดจีนมีโอกาสฟื้นระยะสั้นจากบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น หากถืออยู่แล้วแนะนำถือรอจังหวะและติดตามพัฒนาการการเจรจาทางการค้าอย่างใกล้ชิด

 

สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีสัดส่วนการลงทุนในจีนหรือลดสัดส่วนจีนไปก่อนหน้า หากสนใจลงทุนในหุ้นจีน แนะนำทยอยเข้าได้บ้าง แต่ยังไม่แนะนำเข้าเต็มตัว เพราะถึงแม้ภาพระยะสั้นดูสดใส แต่ข้อตกลงนี้ยัง “ชั่วคราว” มองว่ายังไม่ใช่จุดกลับตัวถาวร นักลงทุนควรรอความชัดเจนเพิ่มเติม ทั้งความคืบหน้าในเชิงนโยบายและสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีน

 

สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวน ยังคงสามารถทยอยลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยง และกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ที่เน้นกลยุทธ์ในการสร้างกระแสเงินสดได้ในจังหวะนี้เช่นกัน รวมถึงกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ

 

 

นักลงทุนที่สนใจลงทุนสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการลงทุนได้ที่

  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
  • CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777
  • LINE  Wealth & Preferred 

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

จัดทำและตรวจสอบข้อมูลโดย

 

  • คุณลลิภัสร์ กมลปรียาพัฒน์ ปรึกษาการลงทุน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
  • คุณจิรไพบูลย์ รัตนภาณุรักษ์ (IP, FM, IA) ผู้อำนวยการที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)