คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • มุมมองเศรษฐกิจ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
คำแนะนำการลงทุนจากทีมผู้เชี่ยวชาญ
อัปเดตภาวะตลาด

CIMB Investment Outlook
by CIMB Preferred

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ณ โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ

 

อัปเดตสภาวะตลาดโลกและมุมมองเศรษฐกิจ เพื่อเสริมกลยุทธ์การลงทุนต่อยอดความมั่งคั่งในปี 2568 โดยผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มธนาคาร ซีไอเอ็มบี และผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การลงทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำ ดังนี้

 

• คุณตัน คีท จิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

• ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

• คุณแพทริค ชาง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป

• คุณติยะชัย ชอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Wealth & Preferred Segment ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

• คุณศุภจักร เอิบประสาทสุข รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด

• คุณเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)

• คุณรณวร  ศุกระกาญจน์ หัวหน้าทีมกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนวรรณ จำกัด

01 Nov 2024

อัปเดตภาวะตลาดการเงิน และกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง

 

การคาดการณ์ล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกปี 2024 และ 2025 เป็น 3.2% โดยการคาดการณ์สำหรับปี 2024 มีการปรับเพิ่มขึ้น 30 bps เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดือนตุลาคม อย่างไรก็ดี การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปี 2024 และ 2025 ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (2000-2019) ที่เติบโตเฉลี่ย 3.8% สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวด การยกเลิกนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย รวมถึงการเติบโตของ Productivity ที่ต่ำ สำหรับเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้ว มีการคาดการณ์การเติบโตเพิ่มขึ้นที่เพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2023 เป็น 1.7% ในปี 2024 และ 1.8% ในปี 2025 ซึ่งเป็นการปรับขึ้น 20 bps สำหรับการคาดการณ์ปี 2024 ขณะที่ด้านเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่และตลาดกำลังพัฒนา การเติบโตคาดว่าจะคงที่ที่ 4.3% ในปี 2024 และ 2025 อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเติบโตอาจจะมีการปรับลดลงในฝั่งเอเชีย ทั้งนี้ ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์และความสามารถของธนาคารกลางทั่วโลกในการจัดการเศรษฐกิจเพื่อให้เข้าสู่ “Soft-Landing” เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของ GDP ทั่วโลกทั้งในปีนี้และปีหน้า

 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดหลังจากที่รอคอยมานานเริ่มต้นด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ยิ่งไปกว่านั้น เฟด Dot Plot บ่งชี้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งโดยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 50 bps ในการประชุมสองครั้งสุดท้ายของปีนี้และอีก 100 bps สำหรับปี 2025 โดยเฟดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ประมาณ 3.25% ภายในสิ้นปี 2025 ก่อนหน้านี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ยอมรับในที่ประชุมแจ็คสัน โฮลว่า ความเสี่ยงด้านตลาดแรงงานได้เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายสองอย่าง (Dual Mandate) ของเฟด ได้แก่การจ้างงานที่สูงสุดและเสถียรภาพด้านราคา

 

การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยล่าสุดของเฟดมีแนวโน้มผ่อนคลายมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตามการคาดการณ์ของเฟดยัง hawkish หากเทียบกับกับคาดการณ์ของตลาด เนื่องจากตลาดคาดว่าหากเศรษฐกิจไม่สามารถที่จะ “Soft Landing” ได้ จะทำให้เฟดต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้มากขึ้นและเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่แข็งแกร่งและอัตราการว่างงานที่ลดลงเหลือ 4.1% บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ อีกครั้ง ทำให้ทั้งตลาดและเฟดมีมุมมองที่สอดคล้องกันมากขึ้นสำหรับแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยเฟดคาดการณ์การเติบโตของ GDP จะลดลงเหลือ 2% ทั้งในปี 2024 และ 2025 และคาดว่าอัตราการว่างงานจะคงที่ที่ 4.4% ทั้งในปี 2024 และ 2025 ขณะที่ดัชนีเงินเฟ้อ core PCE จะกลับสู่เป้าหมาย 2% ภายในปี 2026 นอกจากนี้ เฟดย้ำว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 50 bps นั้นเรียกว่าเป็นการปรับสมดุล (Recalibration) มากกว่าที่จะเป็นการตอบสนองต่อผลประเมินเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดหรือตลาดแรงงานที่อ่อนแอ

 

จากข้อมูลล่าสุดของมาตรวัดที่ใช้ติดตามตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หรือ Atlanta Fed's GDPNow บ่งชี้ว่า GDP ของสหรัฐ ฯ จะเติบโต 3.3% YoY ในไตรมาสที่ 3 และมีความน่าจะเป็นที่สหรัฐ ฯ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยตลาดส่วนใหญ่มองว่ามีโอกาส 15-20% ที่จะเกิด Recession ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า สิ่งที่เห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมาคือภาคการบริโภคที่น่ากังวลจากการผิดชำระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนโควิด ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ โดยเปอร์เซ็นต์ของยอดที่ค้างชำระอย่างน้อย 30 วันอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับสูงเฟดจึงมีเครื่องมือครบครันในการจัดการภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวโดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเงินเฟ้ออีกครั้ง โดยเฟดได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าขณะนี้ Dual Mandate อยู่ในภาวะสมดุลและจะมุ่งไปที่การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้กลับมาสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

อย่างที่ได้มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 bps เนื่องจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการเติบโตของ GDP เมื่อไม่นานมานี้ ECB ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ลงเหลือ 0.8% และ 1.3% และคาดการณ์เงินเฟ้อที่ 2.5% และ 2.2% ในปี 2024 และ ปี 2025 ตามลำดับ ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของยูโรโซนอยู่ที่ 1.7%YoY ในเดือนกันยายน ต่ำกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ 2% ภาคการผลิตของยูโรโซนอยู่ภายใต้แรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นเวลานานและการแข่งขันในจากทั่วโลกที่รุนแรงขึ้น อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1.7% ในเดือนกันยายนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตัวเลขดังกล่าวทำให้นายแอนดรูว์ เบลีล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางของอังกฤษส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามคณะกรมการนโยบายการเงินคาดการณ์ดัชนี CPI เพิ่มขึ้นเป็น 2.2% ในเดือนสิงหาคม และ 2.5% ในปี 2025 

 

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการขยายตัวที่เร็วกว่าที่คาด โดยไตรมาส 2 ปี 2024 GDP ญี่ปุ่นขยายตัว 3.1% YoY แรงหนุนจากการบริโภคและค่าจ้างที่แท้จริงที่เติบโต โดย BOJ กำลังดำเนินการอย่างระมัดระวังระหว่างการพยายามหลีกเลี่ยงแรงกดดันด้านค่าเงินเยนที่มากเกินไปกับการควบคุมเงินเฟ้อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น นาย ชิเงรุ อิชิบะ เน้นย้ำถึงความเป็นอิสระของ BOJ หลังจากมีการประกาศต่อสาธารณะว่า ญี่ปุ่นยังไม่พร้อมที่จะสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ด้านเศรษฐกิจจีน มีรายการเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 3 ที่ 4.6% YoY ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย ขณะที่ด้านอินเดียมีการคาดการณ์ GDP เติบโตลดลงเหลือต่ำกว่า 7% หลังจากที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 8.2% เมื่อปีที่แล้ว จากการหดตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ

 

หุ้นโลก:

การประกาสผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2024 ของ S&P 500 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ล่าสุดมีบริษัท 14% ที่เริ่มรายได้งานผลประกอบการ ณ วันที่เขียนนี้ แม้จะยังเร็วเกินไป แต่ 79% ของบริษัทที่รายงานผลประกอบการออกมามีผลประกอบการที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์การเติบโตของ EPS ของ S&P500 ไตรมาส 3 ปี 2024 อยู่ที่ 3.4% ลดลง จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 7.8% เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ การคาดการณ์ EPS สำหรับปี 2024 ก็ลดลงเช่นกัน แต่ตัวเลขดังกล่าวนี้ ไม่ได้ทำให้ตลาดปรับตัวลดลง เนื่องจากการคาดการณ์ EPS สำหรับปี 2025 ยังคงแข็งแกร่งที่ 14%YoY ด้าน Valuation ของ S&P 500 ยังอยู่ในระดับสูงโดยอัตราส่วน P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 25.14 เท่า ซึ่งสูงกว่าทั้งค่าเฉลี่ย 5 ปี และ 10 ปี

 

แม้ว่าตลาดจะมีการ Rotation แต่หุ้นกลุ่ม Mag-7 ก็ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐ ฯ ที่ฟื้นตัวและการเติบโตของรายได้ที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ EPS ของหุ้นกลุ่ม Mag-7 มีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2025 นอกจากนี้แผนการของกมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของสหรัฐ ฯ จาก 21% เป็น 28% และแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐ ฯ ที่ยังไม่แน่นอน เป็นความเสี่ยงหลักต่อการคาดการณ์ EPS ของหุ้นทั่วโลกในปีหน้า หนุนให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุนที่สะท้อนการเติบโตจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ

 

ดัชนี NIKKEI 225 เผชิญแรงกดดันหลังจากมีการเทขายหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐ ฯ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม โดยดัชนียังคงต่ำกว่าระดับ All-time High อยู่ 8%  แรงกดดันต่อ BOJ ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงมาเนื่องจากดัชนี Tokyo CPI ของญี่ปุ่นชะลอตัวลงเหลือ 1.8%YoY ในเดือนตุลาคม จาก 2.2% YoY ในเดือนกันยายน ด้านตลาดหุ้นอินเดียเผชิญกับแรงกดดันจากการถูกขายเนื่องจากมีการไหลออกจากเงินทุนเพิ่มขึ้น การร่วงลงล่าสุดของตลาดหุ้นอินเดียส่วนใหญ่เกิดจาการผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2024 ที่อ่อนแอในภาคส่วนที่สำคัญ​อีกทั้งบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการบริโภคในพื้นที่ชนบทรายงานรายได้ต่ำกว่าประมาณการ ขณะที่ด้านธนาคารต้องรับมือกับคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมลง ซึ่งทั้งสองประเด็นดังกล่าวส่งผลให้บรรดานักลงทุนเริ่มมีความวิตกกังวล

 

หุ้นจีน: จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดโควิด เพื่อต่อสู้กับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเนื่องจากการเก็บออมเงินของครัวเรือนจีนกว่า 70% อยู่ในอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลจึงออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหา ฯ รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลง 50 bps และลดข้อกำหนดการชำระเงินดาวน์ขั้นต่ำเหลือ 15% รวมไปถึงมาตรการอื่น ๆ นอกจากนี้ ธนาคารกลางประชาชนจีน (PBOC) ยังออกมาตรการกระตุ้นตลาดทุน มาตรการแรกคือโปรแกรม Swap มูลค่า 71,000 ล้านเหรียญที่จะช่วยให้กองทุน บริษัทประกัน และนายหน้าสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อหุ้นได้ง่ายขึ้น และมาตรการที่สอง คือ PBOC ให้เงินกู้แก่ธนาคารพาณิชย์มูลค่า 42,500 ล้านเหรียญในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกเพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถระดมทุน เพื่อช่วยเป็นแหล่งเงินทุนให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ในการซื้อหุ้นและซื้อหุ้นคืน ผู้ว่าธนาคารกลางประชาชนจีน (PBOC) ได้มีการปรับลดอัตราส่วนเงินสำรอง (RRR) ลง 50 bps และจะมีการปรับลดอีกหากเงื่อนไขสภาพคล่องเหมาะสม

 

อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของตลาดที่ต่ำควบคู่กับ Valuations ที่น่าสนใจ อาจส่งผลให้เห็นการปรับตัวขึ้นของตลาดจีนในครึ่งหลังของปี 2024 หากการฟื้นตัวเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากตลาดปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาปัจจุบันดัชนี HSI ซื้อขายที่ P/E 10.4 เท่าซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยมีการคาดการณ์การเติบโตของ EPS ที่ 6.69% YoY ในปี 2024 และ 5.84% YoY 2025 ด้านดัชนี CSI300 มีการปรับลด EPS ลงมาเล็กน้อยที่ 10%YoY ปี 2024 และ 13%YoY ปี 2025 อย่างไรก็ดี ราคาบ้านใหม่ยังคงปรับตัวลดลงใน 70 เมือง ไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐ โดยราคาบ้านปรับลดลง 0.7% MoM ในเดือนกันยายน

 

สินทรัพย์ทางเลือก: การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ FED ทำให้ REITs ให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยดัชนี FTSE EPRA Nareit Developed ซึ่งเป็นตัวแทนของ REITs ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น 16% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนจัดพอร์ตโดยมองปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยขาลง อย่าไรก็ตาม REITs เผชิญกับแรงขายจากผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐ ฯ อายุ 10 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้น REITs และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน ยังคงได้รับประโยชน์จากการจัดสรรเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากคาดว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลจะยังคงได้รับแรงกดดันอย่างเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายเฟด ในมุมของกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่สร้างรายได้นอกเหนือจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ฯ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยและมีกระแสเงินสดที่มั่นคงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่มีแนวโน้มจะลดลงในระยะเวลาอันใกล้นี้ส่งผลดีต่อราคาทองคำ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกรวมไปถึงอุปทานพลังงาน อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบยังไม่ถึงขั้นกดดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเนื่องจากอุปสงค์จากจีนและยุโรปชะลอจากเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า นอกจากนี้ ตลาดคาดว่ากิจกรรมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐ ฯ จะเพิ่มขึ้นหากทรัมป์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้มีการห้ามการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ภายใต้ชัยชนะของกมลา แฮร์ริส ซึ่งล้วนส่งผลลบต่อราคาน้ำมันและก๊าซ

 

หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจและมีโอกาสในการลงทุนมากมายทั่วโลก อย่างไรก็ตามช่วงครึ่งหลังของปี 2024 นักลงทุนควรให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม REITs สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และสินทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์จาก Risk Premiums ที่ต่ำลง เช่นหุ้นขนาดเล็กและหุ้นตลาดเกิดใหม่ แนะนำทยอยเพิ่มน้ำการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเข้ามาในพอร์ตโดยเน้นตราสารหนี้ภาคเอกชนมีคุณภาพสูงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงในตลาดที่พัฒนาแล้ว โดยเราแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานกลยุทธ์ทั้ง Strategic Asset Allocation (SAA) และ Tactical Asset Allocation (TAA) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์

 

อรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist 

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

รายละเอียดเพิ่มเติม
คำแนะนำการลงทุนจากทีมผู้เชี่ยวชาญของเรา คลิก

คำสงวนสิทธิ์

ข้อมูลคำแนะนำบทวิเคราะห์ การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุป และการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้จัดทำโดยอาศัยข้อมูลมาจากแหล่งที่ธนาคารเชื่อหรือ ควรเชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือและ/หรือถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ธนาคารมิได้ให้คำยืนยันและไม่รับรองหรือรับประกันถึงความครบถ้วน สมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าวและรายละเอียด ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้แต่อย่างใด ธนาคารตลอดจนบริษัทในเครือและบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน หรือบุคลากรอื่นใด) จึงไม่รับผิดชอบ และไม่มีความรับผิดใด ๆ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อการนำเอาข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์ การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุปที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไปใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยที่ ผู้ที่ประสงค์จะนำข้อมูลและรายงานฉบับนี้ไปใช้ต้องยอมรับความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยล าพังด้วยตนเองนอกจากนี้ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลง รายงานฉบับนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ธนาคารมิได้มีหน้าที่ใด ๆ ในการต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงรายงานฉบับนี้ เมื่อข้อมูลหรือรายละเอียดใด ๆ ที่ ระบุในรายงานฉบับนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ตลอดจนไม่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าข้อมูลหรือรายละเอียดที่ปรากฏในรายฉบับนี้เป็นปัจจุบันหรือมีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ของข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุปใด ๆ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้โดยห้ามมิให้ผู้ใดเผยแพร่ ตีพิมพ์ทำซ้ำ ลอกเลียนแบบ อ้างอิง แก้ไข ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากธนาคารก่อน ธนาคารตลอดจนบริษัทในเครือและบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้อง กรรมการ ผู้บริหาร รวมถึงพนักงาน ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบและไม่มีความรับผิดใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการด าเนินงานในอดีต/ ผลการด าเนินงานของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการด าเนินงานในอนาคต การลงทุนในหน่วยลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน จึงมีความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนแรกเริ่มได้