คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • มุมมองเศรษฐกิจ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
คำแนะนำการลงทุนจากทีมผู้เชี่ยวชาญ
อัปเดตภาวะตลาด

01 Jul 2024

อัปเดตภาวะตลาดการเงิน และกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน

การเติบโตทั่วโลกยังคงแข็งแกร่ง แต่ความอดทนของ FED จะทำ Soft-Landing พังลงหรือไม่?

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้มีการปรับขึ้นการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2024 และ 2025 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.2% โดยเป็นการปรับเพิ่มคาดการณ์การปี 2024 ขึ้น 30 จุด จากการคาดการณ์ในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวยังคงต่ำกว่าการเติบโตเฉลี่ย (ปี 2000-2019) ที่ 3.8%  ต่อปี  ตอกย้ำถึงผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดรวมถึงการเติบโตของ Productivity เศรษฐกิจที่ต่ำ สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วมีการคาดการณ์การเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2023 เป็น 1.7% ในปี 2024 และ 1.8% ในปี 2025 โดยการคาดการณ์การเติบโตปี 2024 ถูกปรับเพิ่มขึ้น 20 จุด และ สำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา คาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตแบบทรงตัวที่ 4.2% ทั้งในปี 2024 และ 2025 และคาดว่าตลาดเกิดใหม่ในฝั่งเอเชียจะโตช้าลง โดยปัจจัยเช่น Geopolitics และความสามารถของธนาคารทั่วโลกที่จะพาเศรษฐกิจ “Soft Landing” เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของ GDP โลกในปีนี้

 

คาดการณ์ล่าสุดของเฟด dot-plot ชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจมีการปรับลดลงเพียงหนึ่งครั้งในปี 2024 จากเดิมที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในเดือนมีนาคม โดยการคาดการณ์ GDP และการว่างงานยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้ง Core PCE และ PCE ปี 2024 ถูกปรับคาดการณ์ขึ้น 20 จุด โดยเฟดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงสู่เป้าหมายที่ต้องการที่ 2% ในปี 2026 อย่างไรก็ตาม ข้อมูลหลายจุดชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐ ฯ กำลังชะลอตัว ยอดขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.1% MoM ในเดือนพฤษภาคม จากที่คาดไว้ 0.3% และ ดัชนีชี้นำลดลง 0.5% สู่ระดับ 101.2 หลังจากลดลง 0.6% ในเดือนเมษายน นอกจากนี้ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Conference Board คาดการณ์ว่าการเติบโต real GDP ของสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงต่อไปเหลือต่ำกว่า 1% ในไตรมาสที่ 2 และ 3 และ อัตราการว่างงานยังได้เพิ่มขึ้นถึง 4% และ GDP ไตรมาส 1 เติบโตเพียง 1.6% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าประมาณการที่ 2.4%

 

“แผนของเราคือ ไม่รอให้ทุกอย่างพังก่อนแล้วค่อยแก้ไข” นายพาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวแถลงหลังการประชุม FOMC หน้าต่างการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกโดยไม่ทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มแคบลงการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนธันวาคมอาจดูห่างไกลเกินไป ขณะที่การลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน เสี่ยงที่จะทำให้พรรคพับลิกันไม่พอใจเนื่องจากประธานาธิบดีไบเดนกำลังแข่งขันกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างดุเดือด ตลาดคาดหวังว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 25 bps ในปี 2024 นี้ โดยจะเริ่มครั้งแรกในเดือนกันยายน และจะลดอีกครั้งในเดือนธันวาคม สะท้อนให้เห็นจากการเคลื่อนไหวของพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ข้อมูลเศรษฐกิจที่แย่ลงอย่างต่อเนื่องอาจบีบให้เฟดต้องตัดสินใจ เนื่องจากความเสี่ยงที่กระทบต่อ GDP เริ่มมีน้ำหนักมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ

 

ในเดือนพฤษภาคมปี 2024 อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่  2.4% ในเดือนเมษายน โดย ECB ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ในเดือนมิถุนายน แต่คาดไม่มีการปรับลดในเดือนกรกฎาคม จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 2 ครั้งเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น BOE ใกล้ที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ย เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในเดือนพฤษภาคมลดลงเหลือ 2%  นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2021 อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานอยู่ที่ 3.5% และดัชนีราคาผู้บริโภคภาคบริการอยู่ที่ 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนดังนั้น BOE อาจงดเว้นการชี้นำตลาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงในระยะเวลาอันใกล้นี้  GDP ของญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 1 หดตัวลง 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.5% ขณะที่ GDP ของจีนไตรมาส 1 ขยายตัว 5.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้น 6.1% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่นในปี 2025 และกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก โดยธนาคารกลางอินเดียปรับเพิ่มการเติบโตของ real GDP ปี 2024 เป็น 7.2% จากเดิมคาดไว้ที่  7%

 

หุ้นโลก: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงแยกออกเป็นสองส่วน การกระจายตัวออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และ AI ในช่วงต้นปีกลับด้าน นับจากวันที่ 17 พฤษภาคม NVIDIA มีส่วนคิดเป็น 81.1% ของการเพิ่มขึ้นในดัชนี Bloomberg 500 (market cap weighted index)โดยมีหุ้น 156 ตัวที่ขยับขึ้นและ 345 ตัวที่ขยับลง ขณะที่ด้านดัชนี equal weight (ทุกหุ้นมีน้ำหนักเท่ากัน) ของ S&P500 ลดลงติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ซึ่งคิดเป็นการลดลงประมาณ 3%  ดัชนีที่มีหุ้น Nvidia เป็น equal weight หรือไม่มีเลยให้ผลตอบแทนที่น่าผิดหวังหลังจากทำจุดสูงสุดในเดือนมีนาคม ขณะที่ดัชนีที่มีการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด NVIDIA ทำจุดสูงสุดใหม่

 

คาดการณ์การเติบโตของรายได้ 12 เดือนข้างหน้าของดัชนี S&P500 อยู่ที่ 12.3% และเพียง 4.25% สำหรับดัชนีที่ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (equal weight) หรือคิดเป็นเพียงหนึ่งในสามของดัชนีถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด ตลาดคาดการณ์การเติบโตรายได้ส่วนใหญ่มาจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี สิ่งนี้เป็นความเสี่ยงหากผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีไม่ได้เป็นดังที่คาด แต่ก็เป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นกลุ่มอื่น ๆ หรือหุ้นที่ยัง Laggard โดย Bloomberg คาดการณ์การเติบโต EPS ของ S&P500 ปี 2024 จะอยู่ที่ 8.79% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ณ สิ้นปี 2023 ที่ 11% อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเติบโตจะดีขึ้นเป็น 15.31% ในปี 2025 โดยปัจจุบันทั้ง S&P500 และ NASDAQ ยังถือว่ามี valuations ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับอดีต  

 

NIKKEI225 ปรับตัวขึ้นจากหุ้นส่งออกซึ่งได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มการเงินอย่าง Mitsubishi UFJ Financial Group แบะ Daiwa Securities ก็ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญโดยมีธนาคารเป็นผู้นำในกลุ่มนี้ ด้านอินเดีย ชัยชนะของพรรค BJP ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนายกรัฐมนตรีโมดีไม่สามารถคว้าเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมานี้ได้จึงอาจมีความเสี่ยงด้านนโยบายที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

 

หุ้นจีน:

การสนับสนุนทางการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น หลังจากรายได้ของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับลดลงทำให้นักลงทุนตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน โดยล่าสุด PBOC ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดคาดการณ์การ EPS เติบโต CSI300 ที่ 3.11% ในปี 2024 และคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอย่างมีนัยยะสำคัญในปี 2025 โดยมีการคาดการณ์การเติบโตของ EPS ที่ 12.73%  ด้าน HSI คาดการณ์ EPS ปี 2024 ที่ 3.57% และ 6.47% ในปี 2025 โดยปัจจุบันทั้งดัชนี CSI300 และ ดัชนี Hang Seng ยังคงมี valuations ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี

 

มาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนหากมีประสิทธิภาพพออาจทำให้มีความเป็นไปได้ว่า EPS จะมีการปรับขึ้น หลังจากราคาที่อยู่อาศัยในจีนลดลง 25-30% จากจุดสูงสุดในปี 2020 และ 2021 คาดการณ์ว่ามีอพาร์ตเมนต์ที่ขายล่วงหน้าแล้ว 20 ล้านยูนิตที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำให้เกิดช่องว่างทางการเงินประมาณ 3 ล้านล้านหยวน (414,580 ล้านดอลลาร์) มาตรการที่ออกมาล่าสุดได้แก่ การลดเงินดาวน์ขั้นต่ำจาก 20% ให้เหลือ 15% การยกเลิกอัตราขั้นต่ำของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และการขอให้รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศซื้อบ้านที่ขายไม่ออกจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มาตรการทั้งหมดเริ่มใช้ในคราวเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพรรคคอมนิวนิสต์จีนในการแก้ไขวิกฤตอสังหาฯที่เกิดขึ้น และยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเห็นการใช้นโยบายที่มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ

 

สินทรัพย์ทางเลือก:  ผลการดำเนินของ REIT ออกมาน่าผิดหวังตั้งแต่ต้นปี แต่สิ่งที่อาจเปลี่ยนไปเร็ว ๆ นี้คือเฟดอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน REIT และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานจะได้รับประโยชน์เนื่องจากคาดว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลยังคงอยู่ภายในแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อ่อนแอลง นักลงทุนจึงมองหาการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งการสะสม REITs หรือสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นสิ่งที่น่าสนใจเนื่องจากผลตอบแทนรวมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า

 

ตลาดเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล - ฮามาสมากขึ้น ซึ่งขยายไปถึง อิหร่าน ปากสถาน เลบานอน ซีเรีย และอิรัก   การขนส่งสินค้าและพลังงานในช่องแคบฮอร์มุซ ทะเลแดง และคลองสุเอซที่หากหยุดชะงัก อาจทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะวิกฤต ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปกว่า 85 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากโครนทางอากาศที่คาดว่ากบฏฮุตีในเยเมนปล่อยออกมาโจมตีเรือลำหนึ่งในทะเลแดงจนได้รับความเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของยูเครนได้ทำลายกำลังการกลั่นน้ำมันของรัสเซียถึง 16%  โดยราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นนี้ อาจส่งผลให้ CPI ปรับสูงขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม มีอุปทานเข้ามาเพิ่มขึ้นเนื่องจาก OPEC+ ค่อย ๆ เริ่มยุติการลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่ขยังขยายการลดกำลังผลิต 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวันตั้งแต่เมษายนปี 2023 ออกไปจนถึงสิ้นปี 2025

 

หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจและมีโอกาสในการลงทุนมากมายทั่วโลก อย่างไรก็ตามช่วงครึ่งหลังของปี 2024 ควรให้น้ำหนัการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม อย่างหุ้นเอเชีย หรือหุ้นที่ยัง laggard เนื่องจากนักลงทุนลงทุนอาจให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น ขณะเดียวแนะนำการค่อยๆ เพิ่มน้ำการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเข้ามาในพอร์ตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง โดยเราแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานกลยุทธ์ทั้ง Strategic Asset Allocation (SAA) และ Tactical Asset Allocation (TAA) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์

 

อรุณ ปาวา

IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

รายละเอียดเพิ่มเติม
คำแนะนำการลงทุนจากทีมผู้เชี่ยวชาญของเรา คลิก

คำสงวนสิทธิ์

ข้อมูลคำแนะนำบทวิเคราะห์ การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุป และการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้จัดทำโดยอาศัยข้อมูลมาจากแหล่งที่ธนาคารเชื่อหรือ ควรเชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือและ/หรือถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ธนาคารมิได้ให้คำยืนยันและไม่รับรองหรือรับประกันถึงความครบถ้วน สมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าวและรายละเอียด ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้แต่อย่างใด ธนาคารตลอดจนบริษัทในเครือและบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน หรือบุคลากรอื่นใด) จึงไม่รับผิดชอบ และไม่มีความรับผิดใด ๆ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อการนำเอาข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์ การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุปที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไปใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยที่ ผู้ที่ประสงค์จะนำข้อมูลและรายงานฉบับนี้ไปใช้ต้องยอมรับความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยล าพังด้วยตนเองนอกจากนี้ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลง รายงานฉบับนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ธนาคารมิได้มีหน้าที่ใด ๆ ในการต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงรายงานฉบับนี้ เมื่อข้อมูลหรือรายละเอียดใด ๆ ที่ ระบุในรายงานฉบับนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ตลอดจนไม่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าข้อมูลหรือรายละเอียดที่ปรากฏในรายฉบับนี้เป็นปัจจุบันหรือมีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ของข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุปใด ๆ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้โดยห้ามมิให้ผู้ใดเผยแพร่ ตีพิมพ์ทำซ้ำ ลอกเลียนแบบ อ้างอิง แก้ไข ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากธนาคารก่อน ธนาคารตลอดจนบริษัทในเครือและบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้อง กรรมการ ผู้บริหาร รวมถึงพนักงาน ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบและไม่มีความรับผิดใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการด าเนินงานในอดีต/ ผลการด าเนินงานของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการด าเนินงานในอนาคต การลงทุนในหน่วยลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน จึงมีความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนแรกเริ่มได้