You Are In

  • Why Us
  • Wealth Solutions
  • Market Perspective
  • How to become CIMB Preferred
  • Help & Support
  • Quicklink
CIMB Rewards Program
Preferred Promotions
Events and Seminars
Know Your Risk Appetite
Wealth Solution Products
2025 Outlook
Monthly Investment
Highlighted Fund
Mutual Fund
Quarterly Outlook
Lifestyle
Structured Debenture
Financial Planning

ตลาดอินเดียปรับขึ้น เกิดจากอะไร ควรทำยังไงต่อ?

 

เมื่อปลายเดือนกันยายน 2024 ดัชนี MSCI India ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนปรับตัวลงกว่า 20% และทำจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม 2025 ท่ามกลางความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน จากนั้นดัชนีร่วงอีกครั้งหลังประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แต่ตั้งแต่ทำจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคม ดัชนีได้ฟื้นตัวกว่า 14% จนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ แม้เกิดความตึงเครียดระหว่างอินเดีย–ปากีสถาน เศรษฐกิจยังคงมีปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนตลาดหุ้นอินเดียต่อไป…

 

การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

 

  • สถานะการเจรจา: อินเดียเริ่มต้นเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการประกาศมาตรการภาษี โดยปัจจุบันมีการพูดคุยในประเด็นการลดภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ
  • ข้อเสนอสำคัญ: เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม อินเดียเสนอภาษี 0% บนสินค้าบางประเภทตามปริมาณนำเข้าที่กำหนด เพื่อแลกกับการปรับปรุงมาตรการควบคุมคุณภาพสินค้าให้มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น
  • ผลกระทบต่อ Sentiment: หากข้อตกลงสำเร็จ จะช่วยคลายความกังวลด้านภาษี และดึงดูดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียอีกครั้ง

 

ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ

 

  • คาดการณ์ GDP: แม้องค์กรสำคัญ เช่น IMF, Moody’s, S&P และ Fitch จะปรับลดการคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงเหลือ 6.2–6.4% แต่ธนาคารกลางอินเดียยังเป้าหมายที่การเติบโต 6.5%
  • ผลกระทบจากภาษีที่ต่ำกว่า: อินเดียอาจถูกปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 จากนโยบายภาษีศุลกากร แต่ยังคงสัดส่วนที่ต่ำสวนทางกับประเทศอื่น ๆ ที่ถูกปรับลงในระดับสูงกว่า เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่มีการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับ GDP ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ
  • แรงขับเคลื่อนหลัก: การบริโภคภาคเอกชนที่เข้มแข็ง ชนชั้นกลางขยายตัวต่อเนื่อง และประชากรวัยทำงานกว่า 68% ของประชากรทั้งหมด จะช่วยหนุนการใช้จ่ายภายในประเทศให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ เมื่อวัดตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity) อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก
  • เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: เงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงซึ่งมาจากราคาอาหารที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปี หนุนให้ธนาคารกลางอินเดียลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 6.0% โดยคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอินเดียจะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกราว 0.25%-1.00% ในปี 2025 เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ

 

ภาคการผลิตและการใช้จ่ายภาครัฐ

 

  • ดัชนี PMI: ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของอินเดียยังคงอยู่ในพื้นที่ขยายตัว ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มชะลอตัว
  • ผลตอบแทนจากการย้ายฐานการผลิต: บริษัทหลายแห่งประกาศย้ายห่วงโซ่อุปทานจากจีนมายังอินเดีย ส่งผลให้การจ้างงานและการผลิตภายในประเทศขยายตัว โดยเบื้องต้นทาง Apple กำลังเร่งย้ายฐานการผลิตจากจีนสู่อินเดีย ซึ่ง Iphone ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯจะมาจากการผลิตในอินเดีย เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการค้า
  • การขาดดุลทางการคลัง: การลดลงของการขาดดุลทางการคลังจากระดับ 6.4% ต่อ GDP ในปี 2023 เหลือ 5.6% ในปี 2024 และก้าวสู่ 4.8% ในปี 2025 เป็นการลดลงที่ “คุณภาพดี” เนื่องจากการลดสัดส่วนขาดดุลงบประมาณมาจาก “การขยายรายรับ” เป็นหลัก ควบคู่กับ “การควบคุมค่าใช้จ่ายประจำ” อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ยังรักษาการลงทุนระยะยาวให้เติบโต จึงถือเป็นการขาดดุลที่มีคุณภาพสูง ไม่ใช่การตัดงบลงทุนเพื่อประคับประคองตัวเลขเท่านั้น

 

ยอดส่งออกและข้อตกลงการค้าใหม่

 

  • สัดส่วนส่งออก: อินเดียส่งออกสินค้าและบริการคิดเป็น 22% ของ GDP โดยปีงบประมาณ 2024–25 มีมูลค่ารวมประมาณ 8.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยรัฐบาลตั้งเป้าสร้างยอดส่งออกให้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
  • ข้อตกลงกับสหราชอาณาจักร: เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม อินเดียบรรลุข้อตกลงการค้า คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันอีก 34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และลดภาษีให้กับสินค้าประมาณ 90% ของรายการภาษีทั้งหมดและจะลดภาษีจนถึงระดับ 0% ภายใน 10 ปี

 

มุมมองเชิงมูลค่าและผลประกอบการ

 

  • มูลค่าหุ้น (Valuation): โดยปัจจุบัน ณ วันที่ 8 พฤษภาคม ดัชนี MSCI INDIA มี PE อยู่ที่ 24.6 เท่า ซึ่งมูลค่าหุ้นยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ PE 25 เท่า เล็กน้อย ทำให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง หลังการปรับฐานลงอย่างรุนแรงมูลค่าของหุ้นอินเดียจึงดูน่าสนใจกว่าในอดีต อย่างไรก็ดี แม้ระดับ Valuation ณ ปัจจุบันอาจต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ยังคงสูงกว่ากลุ่ม APAC รวมถึงจีนที่มี PE Ratio ต่ำกว่า 20 เท่า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวังจากการประเมินเชิงเปรียบเทียบ
  • ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (Earnings, EPS): โดยปัจจุบัน ณ วันที่ 8 พฤษภาคม ดัชนี MSCI INDIA มีการคาดการณ์ EPS เติบโตที่ 10.59% ในปี 2025 ซึ่งหลังสหรัฐฯ ประกาศ Reciprocal Tariffs 10% อินเดียถูกปรับประมาณการขึ้น สะท้อนว่าทิศทางผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นอินเดียได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ โดยบริษัทรายใหญ่ในตลาดยังแสดงผลกำไรที่เติบโต แม้บางภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

 

ความเสี่ยงและประเด็นที่ต้องติดตาม

 

  • เจรจาการค้าชะลอหรือล่าช้า: หากการเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ ไม่บรรลุข้อตกลงในระยะเวลาอันใกล้ อาจทำให้ตลาดมีความกังวลด้านภาษีศุลกากรมากขึ้น
  • ความตึงเครียดระหว่างอินเดีย–ปากีสถาน: เหตุมาตรการตอบโต้กันอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี อาจกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนหากเกิดการเผชิญหน้าครั้งใหม่
  • ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า: การชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักทั่วโลก หรือความบาดหมางระหว่างจีน–สหรัฐฯ ระลอกใหม่ อาจทำให้เงินทุนไหลออกจากเอเชียไปยังตลาดหรือสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
  • ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2025: โดยปัจจุบัน ณ วันที่ 13 พฤษภาคม ตลาดหุ้นอินเดียประกาศผลประกอบการออกมา 811 จาก 4,791 บริษัทหรือ 16.9% ซึ่งมีการเติบโตในเชิงบวกราว 55% จากที่ประกาศออกมาทั้งหมด ภาพรวมผลประกอบการค่อนข้างดีจากข้อมูลเบื้องต้นสะท้อนถึงกำไรที่เติบโตได้ดีในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ชะลอตัวในธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงก่อนหน้า
  • การประเมินมูลค่าตลาด: ฤดูกาลประกาศผลประกอบการกลางเดือนพฤษภาคมจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับการประเมินมูลค่าตลาดของอินเดีย แม้มูลค่าตลาดจะอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค แต่การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งจะทำให้ระดับมูลค่าตลาด ณ ปัจจุบันอยู่ในจุดที่ “สมเหตุสมผล” โดย MSCI India ซื้อขายที่ระดับมูลค่า ราว 24.6 เท่า การให้มูลค่าพรีเมียมดังกล่าวมีเหตุผลรองรับจากการเติบโตของกำไรในระดับสูง EPS CAGR 11-15% ถึงปี 2026 จึงยังพอสนับสนุนมูลค่าพรีเมียมในช่วงมูลค่าตลาดราว 23-28 เท่า สำหรับระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า

 

แม้จะเผชิญกับความผันผวนและข่าวลบหลายช่วง ตลาดหุ้นอินเดียยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั้งด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประชากรวัยทำงาน และการเปิดเสรีทางการค้า ทำให้ดัชนี MSCI India มีโอกาสกลับไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมและทำจุดสูงสุดใหม่ในระยะถัดไป เมื่อแรงกดดันชั่วคราวต่าง ๆ นั้นได้คลี่คลายลง…

 

 

นักลงทุนที่สนใจลงทุนสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการลงทุนได้ที่

  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
  • CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777
  • LINE  Wealth & Preferred 

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

จัดทำและตรวจสอบข้อมูลโดย

 

  • คุณนนทกร งามสุนทรานันท์ ปรึกษาการลงทุน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
  • คุณจิรไพบูลย์ รัตนภาณุรักษ์ (IP, FM, IA) ผู้อำนวยการที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)