คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน
Weekly Wealth Insights


Executive Summary

ภารกิจของเฟดเผชิญกับความย้อนแย้ง



ในเดือนกรกฎาคม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของ GDP โลกเป็น 3% ในปี 2025 และ 3.1% ในปี 2026 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.8% และ 3% โดยคาดว่าเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาจะเติบโต 1.5% และ 4.1% ในปี 2025 ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 1.4% และ 3.7% การลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การเร่งส่งออกไปสู่สหรัฐฯ และการขยายตัวทางการคลังเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับเพิ่มคาดการณ์ครั้งนี้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก คาดว่ายังชะลอลงมาอยู่ที่ 4.2% และ 3.6% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการก่อนหน้า ขณะที่มาตรการภาษีการค้าคาดว่าจะกดดันการเติบโตของปริมาณการค้าโลกให้อยู่ที่ 2.6% ในปี 2025 และ 1.9% ในปี 2026
 

ความร่วมมือพหุภาคีกำลังเผชิญความเสี่ยงครั้งใหม่จากการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ นำไปสู่การกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทานและการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในระดับโครงสร้างทั่วโลก นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ในประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ การค้า ภาษี งบขาดดุล และการย้ายถิ่นฐาน มีแนวโน้มจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดตลอดปี 2025 อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนี้ อาจเปิดโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในหลากหลายสินทรัพย์ สำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญและมองการณ์ไกล
 

หลังจากที่เฟดได้ปรับลดดอกเบี้ยล่วงหน้าไปแล้วรวม 100 bps ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2024 เฟดก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุม FOMC เดือนกรกฎาคม ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดแรงงานที่ทรงตัวช่วยให้เฟดสามารถคงความอดทนต่อการปรับนโยบายกลับสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFPs) ที่ออกมาต่ำกว่าคาดต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ซึ่งมีการปรับตัวเลขการสร้างงานลดลงรวม 258,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้ความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายนพุ่งขึ้นเกิน 90% ทั้งที่ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือนกรกฎาคมยังคงร้อนแรงที่ 3.1%YoY และดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) อยู่ที่ 3.3%YoY เฟดจึงเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเนื่องจาก dual mandate ของเฟดกำลังขัดแย้งกันท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

Dot-plot ล่าสุดบ่งชี้ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยรวม 50 bps ในปี 2025 โดยแบ่งเป็นการลด 25 bps ในเดือนกันยายนและธันวาคม เฟดยังได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 และ 2026 ลงเป็นครั้งที่สองของปีนี้ จากเดิม 1.7% และ 1.8% เหลือ 1.4% และ 1.6% ตามลำดับ ขณะที่คาดการณ์ Core PCE สำหรับปี 2025 และ 2026 ถูกปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.8% และ 2.2% เป็น 3.1% และ 2.4% ตามลำดับ ทั้งนี้ เฟดจะเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจรอบใหม่หลังการประชุม FOMC ในเดือนนี้
 

 

การปรับลดจำนวนพนักงานภาครัฐของสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการและวางแผนไว้ รวมแล้วมีจำนวนถึง 216,000 ตำแหน่ง ขณะที่อีก 75,000 รายได้ตัดสินใจรับข้อเสนอเลิกจ้างโดยสมัครใจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้แรงงานจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในภาวะสมดุลและเปราะบางอยู่แล้ว ณ ปัจจุบัน รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีพนักงานรวม 2.4 ล้านคน (ไม่รวมบริการไปรษณีย์ของสหรัฐฯ) คิดเป็น 1.9% ของกำลังแรงงานพลเรือนทั้งหมดของประเทศ รัฐบาลทรัมป์คาดว่าจะปรับลดจำนวนข้าราชการกลางได้ถึง 300,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปีนี้ คิดเป็น 12.5% ของแรงงานรัฐบาลกลาง (ไม่รวมบริการไปรษณีย์) ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษา Susan Illston ได้มีคำสั่งห้ามเบื้องต้นเพื่อระงับการปรับลดตำแหน่งเพิ่มเติม แต่รัฐบาลทรัมป์ได้อุทธรณ์และชนะคดีนี้ต่อศาลฎีกาเรียบร้อยแล้ว
 

ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (EU) ได้เจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ สำเร็จ โดยสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้า 15% แลกกับการทำข้อตกลงซื้อพลังงานและการลงทุนที่มีผลผูกพัน ทั้งนี้ สินค้าบางประเภทอาจถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่านี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาเพิ่มเติม สำหรับจีน ถูกเก็บภาษีในอัตราพื้นฐาน 30% ลดลงจากเดิมที่ 145% ขณะที่อินเดียเผชิญภาษีสูงถึง 50% เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์มุ่งเป้าไปที่การซื้อพลังงานจากรัสเซีย ส่วนเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นสองคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษี 25% และ 35% ตามลำดับ สำหรับสินค้าที่อยู่นอกข้อตกลง USMCA โดยการเจรจายังคงดำเนินอยู่
 

หลังจากที่ปรับลดดอกเบี้ยมาติดต่อกัน 8 ครั้ง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ECB ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ปี 2025 ลงมาอยู่ที่ 0.9% และคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2026 ไว้เพียง 1.1% ทั้งโครงการซื้อสินทรัพย์ (APP) และโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินในช่วงการแพร่ระบาด (PEPP) จะไม่มีการนำเงินต้นจากหลักทรัพย์ที่ครบกำหนดกลับมาลงทุนซ้ำอีกต่อไป ปัจจุบัน ECB กำลังก้าวเข้าสู่ท่าทีผ่อนคลายเชิงรุก เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาท่ามกลางความต้องการจากต่างประเทศที่เผชิญแรงกดดัน
 

คณะกรรมการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ลงมติ 5 ต่อ 4 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps  สู่ระดับ 4% หลังจากการลงคะแนนครั้งแรกมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย นับเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของปี 2025 ต่อจากการลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม ทั้งนี้ BOE ยังคงเปิดช่องสำหรับการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมหากแรงกดดันเงินเฟ้อเป็นเพียงภาวะชั่วคราวชั่วคราว อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) และเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ของเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 3.8%YoY นำโดยหมวดอาหารและบริการต่าง ๆ เช่น บริการภายในครัวเรือนและการศึกษา อย่างไรก็ตาม BOE คาดว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงต่อไปจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ขณะเดียวกันในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา BOE ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2025 จาก 1.5% เหลือ 1%
 

คณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ลงมติ 8 ต่อ 1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps สู่ระดับ 0.5% ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบัน BOJ คาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ปี 2025 อยู่ในช่วง 2.8% – 3.0% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 2.2% – 2.4% สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2% ของ BOJ อย่างต่อเนื่อง ตลาดยังคาดว่า BOJ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2025 ขณะเดียวกัน BOJ ได้ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปี 2025 เล็กน้อยเป็น0.5% – 0.7% จากเดิม 0.4% – 0.6% ด้านเศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวเร็วกว่าระดับเป้าหมายทางการที่ 5% โดย GDP ขยายตัว 5.4%YoY ในไตรมาส 1 ปี 2025 และ 5.2%YoY ในไตรมาส 2 ปี 2025
 

เศรษฐกิจอินเดียเติบโตชะลอลงเหลือ 6.5% ในปี 2024  ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดการใช้จ่ายของรัฐบาล หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 8.2% ในปี 2023 ดัชนีหุ้นหลักของอินเดียยังต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลประมาณ 4% หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 100 bps ตั้งแต่ต้นปี 2025 ธนาคารกางอินเดีย (RBI) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งล่าสุด การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายรัฐบาล การชะลอตัวของเงินเฟ้อ และการลดภาษีสร้างความคาดหวังเชิงบวก แม้อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (real interest rate) จะสูงถึง 4% แต่ RBI ยังคงมีพื้นที่ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีกโดยRBI คาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2025 ไว้ที่ 6.5%

 

 

โดย คุณอรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน

Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)


 

ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็ม

MONTHLY INVESTMENT UPDATE เดือน กันยายน 2568