การปรับลดจำนวนพนักงานภาครัฐของสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการและวางแผนไว้ รวมแล้วมีจำนวนถึง 216,000 ตำแหน่ง ขณะที่อีก 75,000 รายได้ตัดสินใจรับข้อเสนอเลิกจ้างโดยสมัครใจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้แรงงานจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในภาวะสมดุลและเปราะบางอยู่แล้ว ณ ปัจจุบัน รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีพนักงานรวม 2.4 ล้านคน (ไม่รวมบริการไปรษณีย์ของสหรัฐฯ) คิดเป็น 1.9% ของกำลังแรงงานพลเรือนทั้งหมดของประเทศ รัฐบาลทรัมป์คาดว่าจะปรับลดจำนวนข้าราชการกลางได้ถึง 300,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปีนี้ คิดเป็น 12.5% ของแรงงานรัฐบาลกลาง (ไม่รวมบริการไปรษณีย์) ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษา Susan Illston ได้มีคำสั่งห้ามเบื้องต้นเพื่อระงับการปรับลดตำแหน่งเพิ่มเติม แต่รัฐบาลทรัมป์ได้อุทธรณ์และชนะคดีนี้ต่อศาลฎีกาเรียบร้อยแล้ว
ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (EU) ได้เจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ สำเร็จ โดยสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีนำเข้า 15% แลกกับการทำข้อตกลงซื้อพลังงานและการลงทุนที่มีผลผูกพัน ทั้งนี้ สินค้าบางประเภทอาจถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่านี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาเพิ่มเติม สำหรับจีน ถูกเก็บภาษีในอัตราพื้นฐาน 30% ลดลงจากเดิมที่ 145% ขณะที่อินเดียเผชิญภาษีสูงถึง 50% เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์มุ่งเป้าไปที่การซื้อพลังงานจากรัสเซีย ส่วนเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นสองคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษี 25% และ 35% ตามลำดับ สำหรับสินค้าที่อยู่นอกข้อตกลง USMCA โดยการเจรจายังคงดำเนินอยู่
หลังจากที่ปรับลดดอกเบี้ยมาติดต่อกัน 8 ครั้ง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ECB ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ปี 2025 ลงมาอยู่ที่ 0.9% และคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2026 ไว้เพียง 1.1% ทั้งโครงการซื้อสินทรัพย์ (APP) และโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินในช่วงการแพร่ระบาด (PEPP) จะไม่มีการนำเงินต้นจากหลักทรัพย์ที่ครบกำหนดกลับมาลงทุนซ้ำอีกต่อไป ปัจจุบัน ECB กำลังก้าวเข้าสู่ท่าทีผ่อนคลายเชิงรุก เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาท่ามกลางความต้องการจากต่างประเทศที่เผชิญแรงกดดัน
คณะกรรมการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ลงมติ 5 ต่อ 4 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps สู่ระดับ 4% หลังจากการลงคะแนนครั้งแรกมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย นับเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของปี 2025 ต่อจากการลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม ทั้งนี้ BOE ยังคงเปิดช่องสำหรับการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมหากแรงกดดันเงินเฟ้อเป็นเพียงภาวะชั่วคราวชั่วคราว อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) และเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ของเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 3.8%YoY นำโดยหมวดอาหารและบริการต่าง ๆ เช่น บริการภายในครัวเรือนและการศึกษา อย่างไรก็ตาม BOE คาดว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงต่อไปจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ขณะเดียวกันในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา BOE ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2025 จาก 1.5% เหลือ 1%
คณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ลงมติ 8 ต่อ 1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps สู่ระดับ 0.5% ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบัน BOJ คาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ปี 2025 อยู่ในช่วง 2.8% – 3.0% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 2.2% – 2.4% สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2% ของ BOJ อย่างต่อเนื่อง ตลาดยังคาดว่า BOJ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2025 ขณะเดียวกัน BOJ ได้ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปี 2025 เล็กน้อยเป็น0.5% – 0.7% จากเดิม 0.4% – 0.6% ด้านเศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวเร็วกว่าระดับเป้าหมายทางการที่ 5% โดย GDP ขยายตัว 5.4%YoY ในไตรมาส 1 ปี 2025 และ 5.2%YoY ในไตรมาส 2 ปี 2025
เศรษฐกิจอินเดียเติบโตชะลอลงเหลือ 6.5% ในปี 2024 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดการใช้จ่ายของรัฐบาล หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 8.2% ในปี 2023 ดัชนีหุ้นหลักของอินเดียยังต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาลประมาณ 4% หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 100 bps ตั้งแต่ต้นปี 2025 ธนาคารกางอินเดีย (RBI) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งล่าสุด การคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายรัฐบาล การชะลอตัวของเงินเฟ้อ และการลดภาษีสร้างความคาดหวังเชิงบวก แม้อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (real interest rate) จะสูงถึง 4% แต่ RBI ยังคงมีพื้นที่ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีกโดยRBI คาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2025 ไว้ที่ 6.5%