คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน
Weekly Wealth Insights

Understanding Inflation: รู้ทันเงินเฟ้อ วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด  

 

ในยุคที่ราคาสินค้าและบริการขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่าเงินที่เราถืออยู่ในวันนี้อาจลดลงในวันข้างหน้า “เงินเฟ้อ” คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อการวางแผนทางการเงินและการลงทุน หากละเลยหรือขาดการเตรียมตัวที่เหมาะสม เป้าหมายทางการเงินระยะยาวอาจไม่เป็นไปตามที่วางไว้

การเข้าใจเงินเฟ้อและวิธีป้องกันผลกระทบที่ตามมา จึงเป็นก้าวแรกสำคัญที่จะช่วยให้เรารักษาและเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินได้อย่างมั่นคง

เงินเฟ้อคืออะไร ?
 

เงินเฟ้อ (Inflation) หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ “อำนาจซื้อ” ของเงินลดลง หรือพูดง่าย ๆ คือ เงินจำนวนเท่าเดิมสามารถซื้อสินค้าได้น้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
 

ตัวอย่าง ปี 2010 ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 บาท แต่ในปี 2025 ราคาขยับเป็น 60 บาท แม้จำนวนเงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่สามารถซื้อของได้น้อยลงครึ่งหนึ่ง นี่คือผลกระทบโดยตรงจากเงินเฟ้อ

 

ทำไมต้องมีเงินเฟ้อเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ? 
 

เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป เพราะถือเป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวและมีปัจจัยขับเคลื่อนหลายด้าน เช่น

 

  1. เศรษฐกิจเติบโต ความต้องการมากขึ้น (Demand-Pull Inflation)  เมื่อประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ความต้องการบริโภคก็สูงขึ้น หากการผลิตไม่ทัน ราคาย่อมปรับตัวสูงขึ้น
  2. ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น (Cost-Push Inflation) ราคาน้ำมัน วัตถุดิบ หรือค่าแรงสูงขึ้น ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าเพื่อรักษากำไร 
  3. ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น (Monetary Inflation)  เมื่อมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้นเกินไป มูลค่าเงินจะลดลงตามกลไกของอุปสงค์และอุปทาน ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น
  4. ปัจจัยจากต่างประเทศ (Imported Inflation) ราคาสินค้านำเข้าหรือวัตถุดิบสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนและราคาภายในประเทศ

เงินเฟ้อในระดับเหมาะสม (ประมาณ 2–3% ต่อปี) ถือเป็นสัญญาณบวก สะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากสูงเกินไปจะกระทบต่อการครองชีพและเป้าหมายทางการเงินของเรา

 

 

 

ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อชีวิตประจำวัน

 

เงินเฟ้อกระทบเราโดยตรงตั้งแต่การใช้จ่ายประจำวันไปจนถึงการลงทุนระยะยาว ดังนี้:

 

  1. ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้น รายได้เท่าเดิมแต่กำลังซื้อกลับลดลง เพราะราคาสินค้าขยับสูงกว่าการเติบโตของรายได้
  2. มูลค่าเงินออมลดลง เงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อทำให้มูลค่าเงินหดหายเมื่อเวลาผ่านไป
  3. ผลตอบแทนการลงทุนแท้จริงลดลง (Real Return) หากผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อ มูลค่าเงินที่แท้จริงอาจติดลบ
  4. ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น จากการที่ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อรับมือเงินเฟ้อ ทำให้การกู้ซื้อทรัพย์สินมีต้นทุนแพงกว่าเดิม เช่น การซื้อบ้านหรือที่ดิน เป็นต้น

 

แนวทางการรับมือกับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

  1. ลงทุนในสินทรัพย์ที่เติบโตเร็วกว่าหรือใกล้เคียงเงินเฟ้อ เช่น หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ เพื่อรักษากำลังซื้อในระยะยาว
  2. กระจายความเสี่ยง (Diversification)  ไม่ฝากเงินหรือลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว ลดโอกาสขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด
  3. สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) เลือกลงทุนที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ เช่น หุ้นปันผลหรือกองทุนอสังหา ฯ เพื่อช่วยชดเชยภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
  4. ติดตามสถานการณ์และปรับพอร์ตลงทุน  เมื่อเงินเฟ้อหรือดอกเบี้ยเปลี่ยน ควรปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่เหมาะสม

 

วางแผนการเงินอย่างชาญฉลาด =  ลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ 

 

ตัวอย่าง เปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนดัชนี S&P500  ก่อนและหลังหักเงินเฟ้อ ตั้งแต่ปี 1994-2024 (30 ปี )

 

 

 

จะเห็นว่า เงินเฟ้อตลอดช่วง 30 ปี ที่ผ่านมากัดกินเงินออมไปกว่า 3.18% ต่อปีเลยทีเดียว ดังนั้น ถ้าเราลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อและลงทุนทบต้นต่อเนื่อง แม้ผลตอบแทนหลังหักเงินเฟ้อจะน้อยลง แต่เงินลงทุนของเรายังสามารถเติบโตเอาชนะเงินเฟ้อได้ 

 

และจากบทความก่อนหน้านี้ เราได้พูดถึง แนวคิดดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest Mindset) ทีนี้ จะมาเชื่อมโยงให้เห็นภาพว่า พลังของดอกเบี้ยทบต้น ช่วยเราจากผลกระทบของเงินเฟ้อได้อย่างได้อย่างไร 

 

ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) คือการทำให้ เงินต้น + ดอกเบี้ย(หรือผลตอบแทน)ที่ได้รับ กลายเป็นเงินต้นใหม่ และสร้างดอกเบี้ยทบไปเรื่อย ๆ ทำให้เงินเติบโตแบบทวีคูณเมื่อเวลาผ่านไป

 

หากวางแผนลงทุนระยะยาวและให้เวลากับดอกเบี้ยทบต้น ผลตอบแทนรวมจะช่วยให้สามารถ “เอาชนะเงินเฟ้อ” ได้ และยิ่งเริ่มเร็ว ดอกเบี้ยทบต้นยิ่งมีเวลาทำงาน และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการในอนาคต

 

ดังนั้นแล้ว ถ้าเราเข้าใจทั้งสองอย่างนี้และเริ่มลงมือวางแผนการเงินของเราทันที เราก็จะสามารถ “ปกป้อง + เพิ่มมูลค่า” ของเงินได้พร้อมกัน

_________________________________________________________________________________________

SCBS&P500 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดจ่ายเงินปันผล)

 

เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ iShares Core S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี S&P 500 โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้ได้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500

 

กองทุนมีระดับความเสี่ยง: 6

 

>> คลิกเพื่อดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวน

_________________________________________________________________________________________

 


นักลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการลงทุน หรือ ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่

 

  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
  • CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777
  • LINE  Wealth & Preferred

 

คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต/การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุนรวม) เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

_________________________________________________________________________________________

 

 

เรียบเรียงโดย Wealth Advisory by CIMB THAI Bank


ตรวจสอบข้อมูลโดย คุณจิรไพบูลย์ รัตนภาณุรักษ์ (IP, FM, IA) ผู้อำนวยการที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

 

____________________________________________________________________________________________________

 

#WealthAdvisorybyCIMBTHAIBank #CompoundInterestMindset