คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน

‘อินเดีย’ มหาอำนาจด้านการบริโภค หนึ่งในประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก

 

ตลาดหุ้นอินเดียฟื้นตัวแกร่ง ส่องโอกาสเติบโตผ่านกองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A‘อินเดีย’ มหาอำนาจด้านการบริโภค หนึ่งในประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก

 

จากบทวิเคราะห์ฉบับก่อนหน้าเรื่อง ตลาดอินเดียปรับขึ้น เกิดจากอะไร ควรทำยังไงต่อ เราได้เห็นภาพรวมตลาดหุ้นอินเดียที่แม้จะเผชิญความผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 แต่ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างน่าประทับใจกว่า 15.6% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคม 2024 

 

ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีทิศทางบวก, เศรษฐกิจในประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภค, นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศ ล้วนเป็นสัญญาณบวกที่ชี้ว่า "อินเดีย" ยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในระยะยาว 

 

คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนคือ จะคว้าโอกาสการเติบโตนี้ได้อย่างไร? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนที่น่าสนใจ นั่นคือ กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ (PRINCIPAL INDIAEQ-A)

 

 

ทำไมต้อง PRINCIPAL INDIAEQ-A? ประตูสู่การเติบโตของอินเดีย

 

กองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก (Master Fund) คือ Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund บริหารโดย Carne Global Fund Managers ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลกที่มีความเชี่ยวชาญและทีมงานในประเทศอินเดียโดยตรง

 

ความน่าสนใจของกองทุน

 

1. กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับศักยภาพของอินเดีย: กองทุนหลักมีปรัชญาการลงทุนแบบ Bottom-up คือเน้นการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาว จากการลงทุนในแบบสมดุลในหุ้นกลุ่มเติบโตสูง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็กในตลาดหุ้นอินเดีย โดยจะลงทุนในหลักทรัพย์ประมาณ 75-150 ตัว กลยุทธ์นี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับตลาดอินเดียซึ่งมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจาก "เศรษฐกิจในประเทศ" เช่น:

 

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง: คาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2025 อยู่ที่ 6.2-6.5% แม้จะมีการปรับลดคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ลงบ้าง แต่ธนาคารกลางอินเดียยังคงเป้าหมายที่ 6.5% การบริโภคภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยชนชั้นกลางขยายตัวต่อเนื่องและเมื่อวัดตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity) อินเดียจะเป็นประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกแต่ยังคงมีความสามารถเติบโตได้อีกในอนาคต
  • การบริโภคที่แข็งแกร่ง: กองทุนสามารถเลือกเฟ้นหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, บริการทางการเงิน และเทคโนโลยี ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากกำลังซื้อของชนชั้นกลางและประชากรวัยทำงานกว่า 68% ของประเทศ
  • การย้ายฐานการผลิต (Make in India): การที่ Apple และบริษัทชั้นนำอื่นๆ ย้ายฐานการผลิตมายังอินเดีย ช่วยสร้างงานและรายได้ กองทุนสามารถเลือกลงทุนในบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเหล่านี้ได้

 

2. การจัดพอร์ตแบบสมดุลที่เน้นการเติบโต: การสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีความสมดุลผ่านการกระจายการลงทุนในหุ้นหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตที่เหนือกว่า โดยให้น้ำหนักการลงทุนใน หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก สูงถึง 40%-50% ของพอร์ต ซึ่งมากกว่าดัชนีชี้วัดที่มีสัดส่วนเพียง 15%-25% อย่างชัดเจน กลยุทธ์นี้ช่วยให้กองทุนสามารถเข้าถึงบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมยุคใหม่เพื่อเกาะกระแสการเติบโตในอนาคต

 

3. เกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ชัดเจน: กองทุนมีเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นที่เข้มงวด โดยจะเน้นลงทุนในบริษัทคุณภาพสูงที่มีลักษณะเป็น "Strong Character" เป็นหลัก ซึ่งหมายถึงบริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดีและมีการเติบโตที่ขับเคลื่อนจากความสามารถของผู้บริหารและกลยุทธ์องค์กรที่แข็งแกร่ง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักได้แก่ กลุ่มการเงิน, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยี ในทางกลับกัน กองทุนจะหลีกเลี่ยงหรือให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาดในกลุ่มที่เป็น "Weak Character" เช่น กลุ่มพลังงาน, อสังหาริมทรัพย์, โครงสร้างพื้นฐาน, ยาสูบ, รัฐวิสาหกิจ หรือธุรกิจที่มีลักษณะผูกขาดโดยนายทุน ทั้งนี้ หากมีการลงทุนในกลุ่มดังกล่าว ก็จะเป็นการลงทุนในสัดส่วนที่น้อยกว่าดัชนีชี้วัดเสมอ เพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพและความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ

 

4. การสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นและสม่ำเสมอ: กองทุนนี้มีความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจและเหนือกว่าคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพิสูจน์ได้จากตัวเลขผลตอบแทนที่ทำได้สูงสุดในกลุ่มกองทุนหุ้นอินเดีย โดยสร้างผลตอบแทนได้ถึง 146.3% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่เพียง 118.5% เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือทีมการลงทุนที่มีความคล่องตัวสูง สามารถวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ กองทุนยังมีความสามารถในการแสวงหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการเข้าไปลงทุนในหุ้น IPO ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วว่ามีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสร้างผลตอบแทนให้แก่พอร์ตการลงทุนโดยรวม

 

5. บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก: การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียมีความซับซ้อนและต้องการความเข้าใจในเชิงลึก โดยกองทุนมีทีมการลงทุนที่มากถึง 32 คน และบุคลากรหลักยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์เฉลี่ยมากกว่า 17 ปี และมีความเชี่ยวชาญในการบริหารหุ้นทั่วโลกและอินเดีย รวมถึงมีการจัดทำรายงานวิเคราะห์ทั้งในอินเดีย สหรัฐฯ ประเทศกำลังพัฒนาและชายขอบมากกว่า 3,000 ชิ้นทั่วโลก ทีมการลงทุนเข้าใจการลงทุนในอินเดียอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง การลงทุนผ่านกองทุนหลักอย่าง Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund ช่วยให้นักลงทุนได้ประโยชน์จากทีมวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์ สามารถเข้าถึงข้อมูลและคัดเลือก "ผู้ชนะ" ในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

กองทุน PRINCIPAL INDIAEQ-A ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่:

 

  • ต้องการกระจายการลงทุนไปยังตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง
  • เชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของเศรษฐกิจอินเดีย
  • ยอมรับความเสี่ยงและความผันผวนของตลาดเกิดใหม่ได้
  • มีเป้าหมายการลงทุนในระยะกลางถึงยาว (3-5 ปีขึ้นไป)

 

ความเสี่ยงและประเด็นที่ต้องติดตาม

 

I. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: กองทุนลงทุนในต่างประเทศ จึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาท, ดอลลาร์สหรัฐ และรูปีอินเดีย โดยกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจไม่ป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด นักลงทุนจึงอาจได้รับผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

 

II. ความผันผวนของตลาดเกิดใหม่: ตลาดหุ้นอินเดียยังคงจัดเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งมีความผันผวนสูงกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว ดังที่เห็นได้จากการปรับฐานกว่า 20% ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจึงควรมีมุมมองการลงทุนในระยะยาวและสามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนได้

 

III. ความเสี่ยงด้านตลาด & Valuation: อินเดียยังคงมี Valuation ที่สูง ในระดับ PE 24–25 เท่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคซึ่งอาจทำให้ราคาหุ้นผันผวนได้ในระยะสั้น รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความตึงเครียดอินเดีย–ปากีสถาน หรือปัญหาภาษีจากสหรัฐ ยังคงมีผลต่อ sentiment ตลาด

 

ท่ามกลางปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตในระยะยาว ตลาดหุ้นอินเดียยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจที่สุดในโลก การปรับฐานที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีได้ทำให้ Valuation น่าสนใจมากขึ้น ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ยังคงเติบโตได้ดี การทยอยเข้าสะสมในช่วงที่ตลาดยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง อาจเป็นจังหวะที่ดีในการสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจอินเดียในทศวรรษข้างหน้า…

 

 

 

ดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวน กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ (PRINCIPAL INDIAEQ-A)

 

 

นักลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการลงทุน หรือ ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่

  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
  • CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777
  • LINE Wealth & Preferred

 

 

คำเตือน

 

ผลการดำเนินงานในอดีต/การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

ตรวจสอบและแนะนำการลงทุนโดย

 

  • คุณนนทกร งามสุนทรานันท์ ปรึกษาการลงทุน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
  • คุณจิรไพบูลย์ รัตนภาณุรักษ์ (IP, FM, IA) ผู้อำนวยการที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)