คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน

การขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า การเติบโต GDP ของโลกจะมีอัตราการเติบโตคงที่ที่ 3.3% ในปี 2025 และ 2026 ซึ่งไม่แตกต่างการการคาดการณ์ก่อนหน้ามากนัก อย่างไรก็ดี ตัวเลขการเติบโตดังกล่าวยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ระหว่างปี 2000-2019) ที่เติบโตเฉลี่ย 3.7%  โดยเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศตลาดเกิดใหม่คาดว่าจะเติบโตที่ 1.9% และ 4.2% ตามลำดับในปี 2025 อีกทั้งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะชะลอตัวลงเหลือ 4.2% ในปี 2025 และ 3.5% ในปี 2026

 

การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์สมัยที่สองทำให้ความร่วมมือพหุพาคีถูกกดดันอีกครั้ง เนื่องจากอาจส่งผลให้โลกาภิวัตน์ถูกจำกัด นำไปสู่ผลกระทบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น  คาดว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ทั้งในเรื่องความขัดแย้ง, การค้า, ภาษี, การอพยพย้ายถิ่นฐานและอีกหลาย ๆ คาดว่าจะส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดตลอดปี 2025 อย่างไรก็ดี ความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจในสินทรัพย์ทุกประเภท

 

 

 

หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งสิ้น 100 bps ในปี 2024 ที่ผ่านมา เฟดตัดสินใจที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ครั้งล่าสุดในเดือนมีนาคม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตลาดแรงงานที่มีเสถียรภาพ ทำให้เฟดสามารถชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้ โดยไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุมแต่ละครั้งเหมือนที่เราเห็นกันในปี 2024 ทั้งนี้ Dot Plot ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งสิ้น 50 bps สำหรับปี 2025 โดยเฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 1.7% ในปี 2025 และ 1.8% ในปี 2026 ขณะที่ดัชนี Core PCE มีแนวโน้มคงที่ที่ 2.8% ในปี 2025

 

ตลาดมองว่าเฟดจะไม่มีการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมอย่างน้อยไปจนถึงเดือนมิถุนายน ขณะที่เฟดอยู่ในโหมด “wait and see” ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังจะเริ่มดำเนินนโยบายใหม่ที่อาจช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยคาดว่า Core PCE จะลดลงเหลือ 2% ในปี 2027 อย่างไรก็ดี ประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ ปฏิเสธที่จะยอมรับความเสี่ยงจากนโยบายการคลังจะกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% จนกว่าจะเห็นผลกระทบที่ชัดเจน โดยเฟดมองว่า วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงินรอบนี้เป็นการปรับสมดุล (Recalibration) มากกว่าที่จะเป็นการตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดหรือตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตอย่างแข็งที่ 2.3% ในไตรมาสที่ 4 แต่ต่ำกว่าคาดการณ์ อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของบัตรเครดิตยังคงอยู่เหนือระดับก่อนเกิดโควิดที่ 3.1% แต่ถือเป็นการปรับตัวที่ดีขึ้น เฟดได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Dual Mandate อยู่ในภาวะสมดุลและจะมุ่งไปที่การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้กลับมาสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเลิกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางกว่า 200,000 คน และพนักงานราว 75,000 คนที่ยอมรับข้อเสนอเงินชดเชยเพื่อให้ลาออกจากงานโดยสมัครใจ เพิ่มความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานแรงงานของสหรัฐฯซึ่งอยู่ในภาวะสมดุล โดยรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีการจ้างพนักงาน 2.4 ล้านคน (ไม่รวมไปรษณีย์อเมริกา) ซึ่งคิดเป็น 1.9% ของแรงงานพลเรือนสหรัฐฯทั้งหมด เหตุการณ์นี้อาจเป็นการเลิกจ้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ

           

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 bps  และได้มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ลงเหลือ 0.9% และ 1.2% สำหรับปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ นอกจากนี้ โครงการซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (Asset Purchase Program – APP) และโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับโรคระบาด (Pandemic Emergency Purchase Programme – PEPP) ของ ECB จะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมจากหลังจากครบกำหนด คาดว่า ECB จะเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2025 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังเติบโตต่ำ

 

อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1.7% ในเดือนกันยายนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กลับมาเร่งขึ้นอีกครั้งเป็น 3% ในเดือนมกราคมจากแรงกดดันด้านค่าจ้าง ราคาพลังงาน และราคาอาหาร อย่างไรก็ตาม นายแอนดรูว์ เบลีล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น  โดยปรับอัตราดอกเบี้ยลง 25bps เหลือ 4.5% เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ BOE ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2025 ลงครึ่งหนึ่งจาก  1.5% เหลือ 0.75% และคาดว่า BOE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยสองครั้งในปี 2025

 

ด้านญี่ปุ่น หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคม ก็ได้มีมติ 8 ต่อ 1 เสียงให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps เป็น 0.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ที่ 2% ตลาดคาดการณ์ว่าในปี 2025 BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 50 bps สำหรับปี 2025 ด้านเศรษฐกิจของจีน สิ้นสุดปี 2024 ด้วยตัวเลขการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ โดย GDP ไตรมาสที่ 4 ขยายตัว 5.4% ขณะที่อินเดียคาดการณ์ GDP ปี 2024 ลดลงเหลือต่ำกว่า 6.4% จากการหดตัวของการใช้จ่ายของรัฐบาล หลังจากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ 8.2% ในปี 2023 โดยดัชนี BSE Sensex ลดลง 8% ในช่วหกเดือนที่ผ่านมาจากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของรายได้และการบริโภค กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติขายทำกำไรหุ้นอินเดีย

 

หุ้นโลก: ตลาดเริ่มต้นด้วยความคาดหวังในนโยบายที่เน้นการเติบโตของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ในลักษณะเชิงบวก  แต่ความรู้สึกในตลาดกลับแย่ลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการผ่อนคลายนโยบายของเฟดเผชิญกับแรงกดดันจากการขึ้นภาษีและตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังคงสูง ตลาดคาดการณ์ว่า S&P500 จะมีการเติบโตกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่  12-15% ในปี 2025 สิ่งที่น่าสนใจคือ ความแตกต่างของอัตราการเติบโตของกำไรระหว่างหุ้น “Mag-7” และ “หุ้นนอก Mag 7” กำลังแคบลง โดยคาดว่าบริษัท Mag-7 จะรายงานการเติบโตของกำไร 21% ในปี 2025 ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ อีก 493 บริษัทจะรายงานการเติบโตของกำไร 13% ในปี 2025

 

การเติบโตของกำไร 13% สำหรับปี 2025 สะท้อนถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับคาดการณ์การเติบโตในปี 2024 ที่ 4% โดยอัตรากำไรสุทธิของดัชนี S&P500 คาดว่าจะขยายตัวเป็น 13% ซึ่งสูงที่สุดในรอบอย่างน้อย 10 ปี ทั้งนี้ ดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทนรวม 25% ในปี 2024 โดยหุ้นกลุ่ม Mag-7 คิดเป็นสัดส่วนที่ 53.7% ของผลตอบแทนทั้งหมด

 

การประเมินมูลค่าของ S&P500 ยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วน P/E ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 24.6 เท่า ซึ่งสูงกว่าทั้งค่าเฉลี่ย 10 ปี 21.6 เท่า ตลาดกำลังรอนโยบายการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลของประธานาธิบดีทรัมป์ นโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้กำไรของ S&P500 เพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% โดยความเสี่ยงด้านลบที่อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนหุ้นโลกในปี 2025 ได้แก่ นโยบายภาษีการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น การกระจุกตัวของหุ้นไม่กี่ตัวในดัชนีต่าง ๆ และ Valuation ที่ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้นักลงทุนต้องกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นที่มีคาดการณ์การเติบโตจนเกือบจะสมบูรณ์แบบจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่กำลังเพิ่มขึ้น

 

แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะผ่อนคลายมาตรการทางการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่ความสนใจในการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก (small caps) กลับมีการปรับตัวดีขึ้นจากการตรวจสอบการควบรวมกิจการ (M&A) ที่เข้มงวดน้อยลงภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ รวมไปถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ทั้งสองปัจจัยส่งผลบวกต่อบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ยิ่งไปกว่านั้น รายได้จากต่างประเทศซึ่งคิดเป็น 39% ของหุ้นในดัชนี Russell 1000 (ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ) และ 19.9% สำหรับ Russell 2000 (ดัชนีหุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ) ดังนั้น การตอบโต้กันผ่านภาษีการค้าจะมีผลกระทบด้านลบต่อหุ้นขนาดใหญ่มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้หุ้นขนาดเล็กมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ตลาดคาดว่าหุ้นในดัชนี Russell 2000 จะมีกำไรเติบโต 33% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2024-2026 ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก

 

ดัชนี NIKKEI 225 เผชิญแรงขายหลังจากการปรับฐานในหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม โดยดัชนียังคงต่ำกว่าระดับ All-time High ถึง 9%  ขณะที่ด้านอินเดียการปรับลงล่าสุดของตลาดหุ้นส่วนใหญ่เกิดจาการผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2024 ที่อ่อนแอในภาคส่วนที่สำคัญ​ ประกอบกับการประเมินมูลค่าที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดเกิดใหม่ ด้านบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งได้รับผลกระทบจากการบริโภคที่ชะลอตัวในพื้นที่ชนบทรายงานกำไรต่ำกว่าประมาณการ ส่วนธนาคารในอินเดียก็กำลังเผชิญกับคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมลง ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวล อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2024 อาจฟื้นตัวขึ้นจากการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล

 

หุ้นจีน: จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดโควิดเพื่อต่อสู้กับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและภาวะเงินฝืด โดยมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ล่าสุดรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลง 50 bps การลดข้อกำหนดการชำระเงินดาวน์ขั้นต่ำเหลือ 15% พร้อมทั้งมาตรการอื่น ๆ นอกจากนี้ ธนาคารกลางประชาชนจีน (PBOC) ยังออกมาตรการกระตุ้นตลาดทุน มาตรการแรกคือโปรแกรม Swap มูลค่า 71,000 ล้านเหรียญที่จะช่วยให้กองทุน บริษัทประกัน และนายหน้าสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อหุ้นได้ง่ายขึ้น  PBOC ได้กล่าวเน้นย้ำความความจำเป็นในการสนับสนุนนโยบายทางการเงินว่า “จะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายในระดับปานกลาง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่ดี เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน”

 

นอกจากนี้ มาตรการที่สอง คือ PBOC ให้เงินกู้แก่ธนาคารพาณิชย์มูลค่า 42,500 ล้านเหรียญในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกเพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถระดมทุน เพื่อช่วยเป็นแหล่งเงินทุนให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ในการซื้อหุ้นและซื้อหุ้นคืน จีนยังได้เริ่มใช้มาตรการ Debt Swap มูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถแลกเปลี่ยนหนี้นอกระบบซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นพันธบัตรระยะยาวได้ จีนเตรียมที่จะใช้การขาดดุลงบประมาณ 4% ของ GDP ในปี 2025 นี้เพื่อพยุงการบริโภคซึ่งมากกว่าเป้าหมาย 3% ในปี 2024 โดยตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ที่ 5% ในปี 2025 การขาดดุลที่เพิ่มขึ้น 1% ของ GDP หมายความว่าจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 ล้านล้านหยวน (179,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

 

หลังจากปิดปี 2024 ด้วยผลตอบแทนระดับกลางและถือเป็นการพลิกกลับครั้งแรกของหุ้นจีนในรอบ 3 ปี ดัชนี้ Hang Seng (HSI) พุ่งขึ้น 22% นับตั้งแต่ต้นปีซึ่งถือว่าเหนือกว่าตลาดในหลาย ๆ ประเทศ เนื่องจากผลกำไรไตรมาสที่ 4 ที่ออกมาล่าสุดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในการพัฒนา AI ทั้งจากความคาดหวังของตลาดที่ต่ำ ประกอบกับ Valuation ที่น่าสนใจ การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นและการสนับสนุนทางการคลังอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนผลตอบแทนของตลาด หลังจากการปรับเพิ่มขึ้นครั้งล่าสุดปัจจุบันดัชนี HSI ซื้อขายในระดับ P/E  12.2 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรของ HSI จะอยู่ที่ระดับ early-single digits เท่านั้นในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า จึงยังมีพื้นที่อีกมากให้ EPS ถูกประมาณการณ์ขึ้น ในขณะที่การเติบโต EPS ของ CSI 300 ถูกปรับขึ้นเป็น 15% ทั้งนี้ จีนกำลังรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่เพื่อปรับสมดุลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต

 

สินทรัพย์ทางเลือก: การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ FED ส่งผลให้ REITs ให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม REITs เผชิญกับแรงขายอย่างหนักหลังจากผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้น 128bps จากจุดต่ำสุดของปี 2024  จากการคาดการณ์ถึงการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯและอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง อย่างไรก็ตาม REITs และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานยังคงได้รับประโยชน์จากการจัดสรรเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากคาดว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายเฟดที่ล่าช้า ในมุมของกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนกำลังมองหาสินทรัพย์ที่สร้างรายได้เหนือกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยและมีกระแสเงินสดที่มั่นคง โดยการเทขายที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ถือเป็นจุดซื้อที่ดีสำหรับนักลงทุน

 

สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาสซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกรวมไปถึงอุปทานพลังงานอาจถูกยุติลงอย่างกะทันหันภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับกระทบจากภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังเป็นปัจจัยให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันจากความต้องการที่ลดลง ขณะเดียวกันอุปทานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งจาก OPEC+ และผู้ผลิตอื่น ๆ โดยทาง OPEC+ ยืนยันมาตรการการลดการผลิตลง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2025

 

หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจและมีโอกาสในการลงทุนมากมายทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2025 นักลงทุนควรให้น้ำหนักการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม REITs สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และสินทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์จาก Risk Premiums ที่ต่ำ เช่นหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมถึงหุ้นตลาดเกิดใหม่ ส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯระยะสั้นเป็นโอกาสการลงทุนเนื่องจาก Yield ที่จะลดลงจากการที่เฟดเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงิน  โดยเราแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานกลยุทธ์ทั้ง Strategic Asset Allocation (SAA) และ Tactical Asset Allocation (TAA) เพื่อรับมือกับความผันผวนและโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์

 

คลิก เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

 

โดย คุณอรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน
Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)