You Are In

  • Why Us
  • Wealth Solutions
  • Market Perspective
  • How to become CIMB Preferred
  • Help & Support
  • Quicklink
CIMB Rewards Program
Preferred Promotions
Events and Seminars
Know Your Risk Appetite
Wealth Solution Products
2025 Outlook
Monthly Investment
Highlighted Fund
Mutual Fund
Quarterly Outlook
Lifestyle
Structured Debenture
Financial Planning

 

 

Eli Lilly (LLY) อัพเดทผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2024 และการคาดการณ์รายได้ปี 2025

 

Eli Lilly เป็นหนึ่งในบริษัทเภสัชกรรมชั้นนำของโลก โดยมีพอร์ตผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมหลายกลุ่มโรค เช่น เบาหวาน มะเร็ง ภูมิคุ้มกันวิทยา และประสาทวิทยา

 

การเติบโตของ Eli Lilly ได้รับการขับเคลื่อนจากการค้นพบทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงวงการ และผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนหลายตัว โดยในปี 1923 Lilly ได้เปิดตัว “iletin” ซึ่งเป็นอินซูลินตัวแรกของบริษัทที่วางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก โดยอินซูลินดังกล่าวได้เปลี่ยนโรคที่ถึงแก่ชีวิตอย่าง “โรคเบาหวาน” เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ โดยผลิตภัณฑ์อินซูลินของ Lilly สามารถครองตลาดในสหรัฐฯ แต่เพียงบริษัทเดียวเป็นเวลา 2 ปี

 

ปัจจุบันความเชี่ยวชาญในการผลิตของบริษัท ทำให้วัคซีนและยาปฏิชีวนะที่สำคัญเข้าถึงได้อย่างแพร่หลาย ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านสาธารณสุข ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 งานวิจัยของ Lilly นำไปสู่นวัตกรรมยาที่เปลี่ยนแปลงวงการในสาขาประสาทวิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพ และได้เปิดตัว Humulin ซึ่งเป็นอินซูลินมนุษย์ตัวแรกที่ผลิตโดยเทคโนโลยี DNA รีคอมบิแนนต์ และต่อมาได้รับการอนุมัติจาก FDA ในฐานะยาที่ดัดแปลงพันธุกรรมเป็นครั้งแรกของโลก และในช่วงไม่กี่ปีต่อมา Lilly ได้เปิดตัว Tirzepatide ภายใต้แบรนด์ Mounjaro (2022) ซึ่งถูกพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักอย่างโดดเด่น โดยทั้ง Mounjaro และผลิตภัณฑ์รักษาโรคอ้วนภายใต้แบรนด์ Zepbound ถูกมองว่าเป็นผู้พลิกเกมในการต่อสู้กับโรคเบาหวานและโรคไต

 

ปัจจัยพื้นฐานของ Eli Lilly

 

รายได้และผลประกอบการ

 

รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 บริษัทมีรายได้ประมาณ 13.5 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 45% โดยมียอดขายของ Mounjaro และ Zepbound ที่แข็งแกร่ง แม้จะมีความท้าทายเรื่องสินค้าคงคลังเล็กน้อย ณ สิ้นปี 2024 และกำไรสุทธิมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ Lilly ในไตรมาส 4 ปี 2024 เพิ่มขึ้น 102% เป็น $4.88 ตามมาตรฐานบัญชีรายงานผลประกอบการ และเพิ่มขึ้น 114% เป็น $5.32 ตามมาตรฐาน Non-GAAP โดยทั้งสองตัวเลขนี้รวมถึง $0.19 จากค่าใช้จ่ายการวิจัยและพัฒนา (IPR&D) ที่ได้มาจากการเข้าซื้อกิจการของ Scorpion Therapeutics, Inc. ซึ่งเป็นโปรแกรมยาที่พัฒนายับยั้ง PI3Kα กลายพันธุ์แบบเลือกจำเพาะ

 

ปัจจุบันหุ้นของบริษัท Eli Lilly and Co (LLY) มีราคาอยู่ที่ 873.12 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ล่าสุดอยู่ที่ 74.04 เท่า

 

ด้านผู้บริหารได้ให้ Guidance ปี 2025 คาดการณ์รายได้อยู่ที่ 58-61 พันล้านดอลลาร์ (+32% จากปี 2024) โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนคือ

 

  • Mounjaro & Zepbound โตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป
  • การขยายตลาด Mounjaro ในประเทศใหม่ ๆ
  • รายได้จาก Oncology, Neuroscience และ Immunology เติบโตจากยาตัวใหม่
  • เพิ่มกำลังการผลิต incretin medicines 1.6 เท่าเทียบกับครึ่งปีแรกของ 2024
  • ลงทุน R&D ต่อเนื่อง โดยเริ่มโครงการทดลองระยะที่ 3 (Phase III) ใหม่ 8 โครงการในปี 2024

 

กระแสเงินสดและการลงทุนใน R&D

 

บริษัทใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) คิดเป็นประมาณ 20% ของรายได้ ซึ่งเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม การลงทุนนี้ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนายาใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะยาในกลุ่ม GLP-1 ที่ใช้รักษาโรคอ้วนและเบาหวาน รวมถึงการบำบัดมะเร็งผ่านแนวทางภูมิคุ้มกันบำบัด นอกจากนี้ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ที่สูงกว่า 75% และมีสถานะกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถรองรับการลงทุนระยะยาวและขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

 

แนวโน้มการเติบโตของ Eli Lilly

 

Mounjaro และ Zepbound ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับโรคอ้วนและเบาหวาน เป็นกลุ่มสินค้าหลักขับเคลื่อนรายได้ของ Lilly คาดว่าตลาดยา GLP-1 จะมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทประมาณการว่ามูลค่าตลาดอาจสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 นอกจากนี้ ความต้องการยาเพื่อควบคุมน้ำหนักยังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งจะช่วยให้ Lilly สามารถขยายส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

การพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

 

Lilly มีท่อผลิตภัณฑ์ (Pipeline) ที่แข็งแกร่ง โดยมีการพัฒนายาในกลุ่มต่าง ๆ เช่น:

 

  • ยารักษามะเร็งแบบ Precision Medicine ที่กำลังอยู่ในขั้นทดลองทางคลินิก
  • การขยายขอบเขตของ Mounjaro เพื่อใช้รักษาภาวะอื่น ๆ นอกเหนือจากโรคอ้วนและเบาหวาน
  • ยาภูมิคุ้มกันบำบัดใหม่ ๆ ที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ เช่น Merck และ Bristol-Myers Squibb ได้

 

การขยายตลาดในระดับโลก

 

บริษัทไม่ได้มุ่งเน้นแค่ตลาดสหรัฐฯ แต่ยังมีการขยายตลาดไปยังจีน ยุโรป และละตินอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้าสู่ตลาดเหล่านี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียวมากเกินไป

 

ความเสี่ยงและปัจจัยที่ต้องจับตา

 

แม้ว่าหุ้น LLY จะมีแนวโน้มเติบโตสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณา เช่น:

  • การแข่งขันจากคู่แข่ง: Novo Nordisk เป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดยา GLP-1 โดยเฉพาะกับยาลดน้ำหนัก Wegovy และ Ozempic
  • กฎระเบียบของรัฐบาล: ความเข้มงวดในการควบคุมราคายาในสหรัฐฯ และยุโรปอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัท
  • ต้นทุนการผลิตและซัพพลายเชน: หากบริษัทไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เร็วพอ จะส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้า ซึ่งกระทบต่อยอดขายและความเชื่อมั่นของตลาด

 

กองทุนรวมที่น่าสนใจที่มีการลงทุนใน Eli Lilly กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นโกลบอลเฮลธ์แคร์ (ชนิดสะสมมูลค่า) หรือ SCBGHCA เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ Janus Henderson Global Life Sciences Fund (กองทุนหลัก) Class I acc สกุลเงิน USD กองทุนหลักเน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences) ได้แก่ บริษัทที่เกี่ยวข้องกับกับการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์/บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลตัวเอง การแพทย์หรือเภสัชกรรม รวมถึงบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตหลักมาจากผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี การจดสิทธิบัตร หรือความได้เปรียบทางการตลาดอื่น ๆ จากวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง)

 

 

 

นักลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการลงทุน หรือ ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา

CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777

LINE Wealth & Preferred

 

คำเตือน: ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผลการดำเนินงานในอดีต/การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

จัดทำข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลโดย

  • คุณลลิภัสร์ กมลปรียาพัฒน์ ปรึกษาการลงทุน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
  • คุณจิรไพบูลย์ รัตนภาณุรักษ์ (IP, FM, IA) ผู้อำนวยการที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

 

References