You Are In

  • Why Us
  • Wealth Solutions
  • Market Perspective
  • How to become CIMB Preferred
  • Help & Support
  • Quicklink
CIMB Rewards Program
Preferred Promotions
Events and Seminars
Know Your Risk Appetite
Wealth Solution Products
2025 Outlook
Monthly Investment
Highlighted Fund
Mutual Fund
Quarterly Outlook
Lifestyle
Structured Debenture
Financial Planning

ภาษีทรัมป์รอบใหม่ เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายละเอียดดังนี้:​

 

การประกาศภาษีศุลกากรใหม่

 

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศใช้ภาษีศุลกากรในสองระดับ ได้แก่

 

  1. ภาษีพื้นฐาน 10%: บังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก
  2. ภาษีเพิ่มเติมเฉพาะประเทศ: กำหนดภาษีเพิ่มเติมกับประมาณ 60 ประเทศ โดยพิจารณาจากการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น จีน 34% (เพิ่มจากภาษีเดิม 20% ทำให้รวมเป็น 54%) กัมพูชา 49% เวียดนาม 46% ศรีลังกา 44% บังกลาเทศ 37% ไทย 36% ไต้หวัน 32% อินโดนีเซีย 32% สวิตเซอร์แลนด์ 31% แอฟริกาใต้ 30% ปากีสถาน 29% อินเดีย 26% เกาหลีใต้ 25% ญี่ปุ่น 24% และสหภาพยุโรป 20%

 

 

เหตุผลและเป้าหมายของนโยบาย

 

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุว่าภาษีเหล่านี้เป็นการตอบโต้ต่อการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ ประสบมาอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่ามาตรการนี้จะสร้างรายได้ "หลายล้านล้านดอลลาร์" เพื่อลดภาษีและชำระหนี้ของประเทศ ​

 

 

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการลงทุน

 

  • ตลาดหุ้นร่วง: การประกาศภาษีส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ​
  • ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ: เจมี่ ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน เชส เตือนว่าภาษีเหล่านี้อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ และจากแบบจำลองของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประเมินว่า การขึ้นภาษีในระดับนี้ อาจทำให้ GDP สหรัฐฯ ลดลงถึง 2.8%
  • การตอบสนองจากประเทศคู่ค้า: หลายประเทศแสดงความไม่พอใจและมีการตอบโต้ด้วยการกำหนดภาษีของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ขยายวงกว้าง

 

 

มุมมองของ Bloomberg Economics

 

  1. คาดว่าเฟดจะเดินทางสายกลาง คือ อาจลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงในปีนี้ หรือลดอัตราดอกเบี้ยแค่ 1 ครั้ง ที่ 0.25% แต่ไปลดเพิ่มในปี 2026
  2. ปรับคาดการณ์ Core PCE ปลายปี 2025 เพิ่มขึ้นเป็น 3.0% จากเดิม 2.8%
  3. ปรับคาดการณ์อัตราว่างงานปลายปี 2025 เพิ่มขึ้นเป็น 4.8% จากเดิม 4.5%
  4. เชื่อว่าผลกระทบส่วนใหญ่จะตกไปที่ตลาดแรงงานและกำไรของบริษัทมากกว่าที่จะส่งผ่านไปยังราคาผู้บริโภคทั้งหมดในทันที

 

ตลาดโลกปรับตัวลดลงมากกว่า 10% หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศภาษีนำเข้าครั้งใหญ่จากประเทศอื่น ๆ การเทขายทวีความรุนแรงขึ้นในการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากมีข่าวว่าจีนจะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี 34% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการตอบโต้ในเรื่องภาษี และทำให้ความสนใจมุ่งไปที่ความเสี่ยงของการตอบโต้จากคู่ค้ารายใหญ่อื่น ๆ รวมถึงสหภาพยุโรปในขณะที่ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เจอโรม พาวเวลล์ มีส่วนทำให้ตลาดปรับตัวลงด้วยการบอกเป็นนัยว่าเฟดอาจใช้แนวทางที่ระมัดระวังในการลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากภาษีมีแนวโน้มอย่างมากที่จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น และเป็นไปได้เช่นกันที่ผลกระทบอาจยืดเยื้อกว่านั้น ดัชนี VIX ซึ่งเป็นดัชนีความผันผวนโดยนัยพุ่งขึ้นไปที่ 45 เมื่อวันศุกร์ และส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูงของสหรัฐฯ กว้างขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 450bps ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2020 ในขณะเดียวกัน การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และความอ่อนแอของราคาทองคำบ่งชี้ถึงสัญญาณของสภาพคล่องที่ตึงตัว การลดภาระหนี้ และความตึงเครียดในตลาด

 

ตลาดมีแนวโน้มที่จะยังคงผันผวนต่อไป โดยอัตราภาษีที่แท้จริงของสหรัฐฯ จะเริ่มลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป เนื่องจากแรงกดดันทางกฎหมาย ธุรกิจ และการเมืองเพิ่มขึ้น และเมื่อมีการทำข้อตกลงกับแต่ละประเทศและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 75-100 bps เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

 

คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน (Hedge portfolio) ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง สำหรับนักลงทุนที่มีความกังวลต่อความผันผวน

 

ตราสารหนี้ (Bonds):

  • ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ระดับ 4.1% ยังคงน่าสนใจสำหรับผลตอบแทนรวมและประโยชน์ด้านการกระจายความเสี่ยง
  • ในสถานการณ์ที่ตลาดแย่ลง (Downside Scenario) คาดการณ์ว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีอาจลดลงต่อ
  • อย่างไรก็ตาม ยังคงชอบการถือครองพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางมากกว่า เนื่องจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลัง ภาวะเงินฝืด หรือการที่ประเทศอื่นลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

 

ทองคำ (Gold):

  • ราคาทองคำปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์และวันจันทร์ เนื่องจากทองคำมักถูกขายเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในช่วงที่ตลาดมีความตึงเครียดอย่างมาก
  • มองว่าการปรับตัวลงนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อประโยชน์ด้านการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ

 

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนได้หรือนักลงทุนในระยะยาว อาจพิจารณา “ถือ” สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ แม้อาจจะมีความผันผวนเกิดขึ้นได้อีก และมุ่งเน้นรอจังหวะในการเข้าลงทุน หรือทยอยเพื่อสัดส่วนการลงทุนผ่าน Income Strategy หรือกลยุทธ์การลงทุนที่สร้างกระแสเงินสด เพื่อลดผลกระทบต่อผลตอบแทนรวม

 

นักลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการลงทุน หรือ ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่

  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
  • CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777
  • LINE Wealth & Preferred

 

คำเตือน: ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

 

จัดทำข้อมูล และตรวจสอบข้อมูลโดย

 

  • คุณลลิภัสร์ กมลปรียาพัฒน์ ปรึกษาการลงทุน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
  • คุณจิรไพบูลย์ รัตนภาณุรักษ์ (IP, FM, IA) ผู้อำนวยการที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)