คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน
Weekly Wealth Insights

เฟดยังคงนิ่งเฉย แม้ความไม่แน่นอนด้านภาษีจะเพิ่มมากขึ้น
 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP โลกลงเหลือ 2.8% ในปี 2025 และ 3.0% ในปี 2026 จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.3% และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในช่วงปี 2000–2019 ซึ่งอยู่ที่ 3.7% อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา IMF คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.4% และ 3.7% ในปี 2025 ลดลงจากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.9% และ 4.2% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกมีแนวโน้มจะชะลอลงอยู่ที่ 4.2% และ 3.6% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ นอกจากนี้ การใช้มาตรการภาษีนำเข้าส่งผลให้การเติบโตของปริมาณการค้าทั่วโลกถูกปรับลดลงเหลือเพียง 1.7% จากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 3.8%
 

​​ความร่วมมือพหุภาคี กำลังเผชิญความเสี่ยงครั้งใหม่จากการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลให้ประโยชน์จากโลกาภิวัตน์ลดลง นำไปสู่การกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทาน และก่อให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเชิงโครงสร้างในระดับโลก นโยบายของทรัมป์ในประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ การค้า ภาษี การค้าขาดดุลงบประมาณ และการการอพยพ มีแนวโน้มจะสร้างความผันผวนในตลาดตลอดปี 2025 อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อาจเปิดโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในสินทรัพย์หลากหลายประเภท สำหรับนักลงทุนที่วางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด
 

หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงรวม 100 bps ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 ล่าสุด FED มีมติ "คงอัตราดอกเบี้ย" ในการประชุม FOMC เดือนมิถุนายน โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งควบคู่กับตลาดแรงงานที่มีเสถียรภาพ เอื้อให้ FED สามารถดำเนินนโยบายอย่างอดทน และยังไม่เร่งปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในทันที จากการคาดการณ์ตาม dot-plot ล่าสุด FED ส่งสัญญาณว่ามีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 50 bpsในปี 2025 โดยจะปรับลด 25bps ในการประชุมเดือนกันยายนและธันวาคม ขณะเดียวกัน FED ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำหรับปี 2025 และ 2026 ลงเป็นครั้งที่สองของปีนี้ เหลือ 1.4% และ 1.6% จากเดิมที่คาดไว้ 1.7% และ 1.8% ตามลำดับ ในทางตรงกันข้าม คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) สำหรับปี 2025 และ 2026 ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% และ 2.4% จากเดิมที่ 2.8% และ 2.2% ตามลำดับ

 

 

 

การปรับลดจำนวนพนักงานภาครัฐของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งรวมทั้งแผนที่ประกาศไว้และที่ดำเนินการไปแล้ว ขณะนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 216,000 ตำแหน่ง และยังมีพนักงานอีก 75,000 คนที่ยอมรับข้อเสนอให้ออกจากงานโดยสมัครใจ (Voluntary buyout) ซึ่งจะส่งผลให้มีแรงงานเข้าสู่ตลาดแรงงานที่อยู่ในภาวะสมดุลที่เปราะบางอยู่แล้ว ปัจจุบัน รัฐบาลกลางสหรัฐฯ (ไม่รวมบริการไปรษณีย์) มีพนักงานประมาณ 2.4 ล้านคน คิดเป็น 1.9% ของแรงงานภาคพลเรือนทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งหากดำเนินการตามแผนทั้งหมด การปรับลดครั้งนี้อาจกลายเป็นการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ล่าสุด ผู้พิพากษาซูซาน อิลสตัน ได้ออกคำสั่งเบื้องต้น ให้ระงับการลดจำนวนพนักงานภาครัฐเพิ่มเติมชั่วคราว โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินดังกล่าวแล้ว

 

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทรุดตัวลง ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอัตราการว่างงานและความคาดหวังเงินเฟ้อ ขณะที่นโยบายภาษีนำเข้ายังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง มาตรการผ่อนปรนภาษีนำเข้าชั่วคราวแบบต่างตอบแทน (Reciprocal tariff reprieve) เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งมอบให้แก่ทุกประเทศ และจะหมดอายุในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากยังคงมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าหลัก เช่น ภาษี 25% สำหรับรถยนต์และเหล็ก และภาษี 10% สำหรับสินค้าทั่วไป แม้สหรัฐฯ จะปรับลดภาษีนำเข้าจากจีนลงเหลือ 30% แล้วจากเดิมที่สูงถึง 145% 

ในการประชุมล่าสุด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นครั้งที่แปดติดต่อกัน โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ครอบคลุมอัตราดอกเบี้ยหลักทั้งสามประเภท ก่อนหน้านี้ ECB ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปีงบประมาณ 2025 (CY25) ลงเหลือ 0.9% และคาดว่า GDP ในปี 2026 จะเติบโตช้าลงที่ 1.1% ทั้งนี้ ECB ได้ยุติการนำเงินต้นที่ได้จากหลักทรัพย์ครบกำหนด กลับมาลงทุนใหม่ภายใต้โปรแกรมซื้อสินทรัพย์ (APP) และโปรแกรมจัดซื้อฉุกเฉินช่วงโรคระบาดใหญ่  (PEPP) ECB กำลังเร่งเดินหน้านโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างจำกัด ท่ามกลางแรงกดดันจากอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอ

ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แอนดรูว์ เบลีย์ ได้ส่งสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างเร่งด่วน และได้ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bpsในเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.25% BOE ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปี 2025 ลงครึ่งหนึ่ง จากเดิม 1.5% เหลือเพียง 0.75% และคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2025 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) และเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ปรับตัวสูงขึ้น 3.4% และ 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในเดือนพฤษภาคม โดยได้รับแรงหนุนจากราคาบริการ BOE คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนไปสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในระยะยาว

หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในที่ประชุมเดือนธันวาคม ล่าสุด BOJ ลงมติ 8 ต่อ 1 เพื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 bps เป็น 0.5% ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี เงินเฟ้อยังคงทรงตัวเหนือเป้าหมายของ BOJ ที่ 2% อย่างต่อเนื่อง ตลาดคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 อาจสูงสุดถึง 50 bps เนื่องจากราคาสินค้าอาหารที่พุ่งสูงอาจกดดันให้เงินเฟ้อเกินเป้า อย่างไรก็ตาม BOJ ยังมีทางเลือกในการชะลอความเร็วการปรับขึ้นดอกเบี้ย หากมาตรการภาษีการค้าาก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเติบโตและแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะสั้น ขณะที่เศรษฐกิจจีนปี 2024 ด้วยการเติบโตแข็งแกร่งกว่าคาด โดย GDP ไตรมาส 4 ปี 2024 ขยายตัว 5.4% เมื่อเทียบปีต่อปี และมีการเติบโตที่ดีกว่าคาดในไตรมาส 1 ปี 2025 ที่ 5.4%

GDP อินเดียในปี 2024 เติบโตลดลงเหลือ 6.5% เนื่องจากการหดตัวของงบประมาณภาครัฐ หลังจากที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 8.2% ในปี 2023 ดัชนีหุ้นหลักของอินเดียยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลประมาณ 4% โดยความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของรายได้และการบริโภค ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลายเป็นผู้ขายสุทธิเพื่อเก็บกำไร อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 100 bps จากธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ใน 3 การประชุมติดต่อกัน รวมถึงการคาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มงบประมาณภาครัฐและมาตรการลดภาษีในปีงบประมาณถัดไป ได้กระตุ้นความเชื่อมั่นและความหวังในเศรษฐกิจอินเดีย

 

คลิก เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

 

โดย คุณอรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน
Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)