คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน
Weekly Wealth Insights

โลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากภาวะอุปสงค์ที่อ่อนแอลง

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การเติบโต GDP โลกเหลือ 2.8% และ 3.0% สำหรับปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.3% โดยอัตราที่ปรับใหม่นี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ช่วงปี 2000-2019) ซึ่งอยู่ที่ 3.7% อย่างเห็นได้ชัด เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศตลาดเกิดใหม่/กำลังพัฒนาก็ถูกปรับลดคาดการณ์เช่นกัน โดยคาดว่าจะเติบโตเพียง 1.4% และ 3.7% ในปี 2025 จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1.9% และ 4.2% ตามลำดับ ในด้านเงินเฟ้อ คาดการณ์ว่าระดับเงินเฟ้อทั่วโลกจะชะลอลงเหลือ 4.2% และ 3.6% สำหรับปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ ขณะที่แนวโน้มการค้าโลกก็ไม่สดใสนัก โดยคาดว่าการเติบโตของปริมาณการค้าโลกจะลดลงเหลือเพียง 1.7% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.8% อันเป็นผลจากมาตรการทางภาษีศุลกากรที่เพิ่มสูงขึ้น

 

การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์สมัยที่สองทำให้ความร่วมมือพหุภาคีถูกกดดันอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระแสโลกาภิวัตน์ นำไปสู่การกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก (Supply Chain Fragmentation) และการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อในเชิงโครงสร้าง นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ในด้านความขัดแย้งระหว่างประเทศ การค้า การจัดเก็บภาษี งบประมาณขาดดุล และนโยบายด้านแรงงานข้ามชาติ ล้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกตลอดปี 2025 อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอาจเปิดโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ สำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม

 

 

 

ในปี 2024 ธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (FED) ได้ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 100 bps ล่วงหน้า (Front-loaded Rate Cuts) ก่อนจะตัดสินใจ “คงอัตราดอกเบี้ย” ในการประชุมคณะกรรมการ FOMC เดือนมีนาคมที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังของ FED สะท้อนจากเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ ที่ยังมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่ทรงตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ FED สามารถชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ต่างจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในช่วงหลังของปี 2024 จาก Dot Plot ล่าสุด คาดการณ์ว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยรวม 50 bps ในปี 2025 ขณะที่ตลาดมีมุมมองเชิงรุกมากกว่า โดยคาดการณ์การลดดอกเบี้ยรวม 100 bps ท่ามกลางความเสี่ยงจากมาตรการภาษีนำเข้าที่อาจกระทบต่ออุปสงค์ในเศรษฐกิจโลก ด้านประมาณการเศรษฐกิจ FED คาดว่า GDP ของสหรัฐฯ จะเติบโตที่ 1.7% และ 1.8% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ในปี 2025 ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 2.8% ซึ่งสะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่ยังไม่คลี่คลายอย่างเต็มที่

 

ตลาดยังไม่คาดการณ์ว่า FED จะดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมก่อนเดือนมิถุนายน เนื่องจาก FED อยู่ในโหมด “เฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์” (Wait and See) ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มกระตุ้นเงินเฟ้อ (Reflationary Policies) ให้สูงขึ้น แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตั้งเป้าเงินเฟ้อที่ระดับ 2% แต่คาดการณ์ปัจจุบันชี้ว่า Core PCE จะทยอยลดลงจนแตะเป้าหมายได้ภายในปี 2027 เท่านั้น ก่อนหน้านี้ประธาน FED นายเจอโรม พาวเวลล์ หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงความเสี่ยงจากนโยบายการคลังต่อเป้าหมายเงินเฟ้อ จนกว่าจะเห็นผลกระทบที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพาวเวลล์ออกแถลงการณ์สาธารณะเกี่ยวกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งนี้ FED ได้สื่อสารว่ารอบการปรับลดดอกเบี้ยในปัจจุบันเป็นเพียงการ “ปรับจูน (Recalibration)” นโยบายให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจใหม่ มิใช่การตอบสนองต่อภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรง หรือปัญหาในตลาดแรงงาน

 

การปรับลดกำลังแรงงานภาครัฐของสหรัฐฯ ทั้งที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างแผนดำเนินการ ขณะนี้มีจำนวนรวมกว่า 216,000 ตำแหน่ง โดยมีพนักงานอีกราว 75,000 ราย ที่ตอบรับข้อเสนอ "ลาออกโดยสมัครใจพร้อมเงินชดเชย" (Voluntary Buyout) การลดกำลังคนครั้งนี้ส่งแรงกระเพื่อมเข้าสู่ตลาดแรงงานที่เปราะบางอยู่แล้ว โดยรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีพนักงานรวมราว 2.4 ล้านคน (ไม่รวมไปรษณีย์) คิดเป็น 1.9% ของแรงงานภาคพลเรือนทั้งหมด ซึ่งหากดำเนินการครบตามแผน อาจกลายเป็นการลดตำแหน่งงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ตัวชี้วัดเศรษฐกิจชั้นนำของสหรัฐฯ แสดงสัญญาณถดถอยท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอัตราการว่างงานและเงินเฟ้อ นโยบายภาษีการค้ายังคงไม่นิ่ง แม้จะมีการประกาศระงับการขึ้นภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) เป็นเวลา 90 วัน สำหรับทุกประเทศยกเว้นจีน แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดได้ เนื่องจากภาษีสินค้าสำคัญอย่างรถยนต์ เหล็ก และภาษีพื้นฐาน (Baseline Tariff) 10% ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ แม้ในกรณีที่สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีการค้าทั้งหมดในทันที นักวิเคราะห์ยังคาดว่าผลกระทบสะสมจากมาตรการภาษีที่ผ่านมาก็ยังคงอยู่ โดยคาดว่าจะฉุดให้ GDP สหรัฐฯ หดตัวลงประมาณ 1%

                                                            

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลักทั้ง 3 ประเภทลงอีก 25 bps เพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ก่อนหน้านี้ ECB ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ยูโรโซนลงเหลือ 0.9% ในปี 2025 และ 1.2% ในปี 2026 สะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวที่อ่อนแรงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ECB ได้ยุติการนำเงินต้นจากพันธบัตรที่ครบกำหนดในโครงการ Asset Purchase Program (APP) และ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) กลับมาลงทุนใหม่ (Reinvestment) ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนจุดยืนเชิงนโยบายอย่างชัดเจน โดยรวม ECB กำลังดำเนินท่าทีเชิงรุกในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Aggressive Easing Pivot) เพื่อประคับประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำอย่างมีนัยสำคัญ

                                                                                                               

ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) นายแอนดรูว์ เบลีย์ ส่งสัญญาณเร่งกระบวนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดย BOE ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps เหลือ 4.5% ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ BOE ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ปี 2025 ลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิม 1.5% เหลือเพียง 0.75% สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแรงต่อเนื่อง ตลาดคาดว่า BOE จะดำเนินการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 ครั้งภายในปี 2025 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ด้านเงินเฟ้อ ตัวเลข Headline CPI และ Core CPI เดือนมีนาคมอยู่ที่ 2.6% และ 3.4% ตามลำดับ โดยแรงกดดันด้านราคาลดลงจากราคาพลังงานที่อ่อนตัว และราคาอาหารที่ทรงตัว BOE ยังคงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะทยอยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในระยะกลาง

 

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตัดสินใจ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในเดือนมกราคมสู่ระดับ 0.5% ด้วยมติ 8 ต่อ 1 ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี หลังจากที่ก่อนหน้านี้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมเดือนธันวาคม อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นยังคงอยู่เหนือระดับเป้าหมาย 2% อย่างต่อเนื่อง ตลาดคาดว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม สูงสุดที่ 50 bps ภายในปี 2025 อย่างไรก็ตาม BOJ ยังมีความยืดหยุ่นในการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากนโยบายภาษีการค้าเริ่มส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อด้าน เศรษฐกิจจีนปิดปี 2024 ด้วยความแข็งแกร่งเกินคาด เนื่องจากไตรมาสโดย GDP ไตรมาส 4 ขยายตัว 5.4%YoY และยังคงรักษาโมเมนตัมดังกล่าวในไตรมาสแรกของปี 2025 ด้วยอัตราเติบโต 5.4% เช่นกัน

 

ขณะที่เศรษฐกิจอินเดีย ถูกปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2024 ลงเหลือ 6.5% จากเดิมที่เติบโต 8.2% ในปี 2023 โดยสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ ดัชนีหุ้นหลักของอินเดียยังคง ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลราว 6% ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของกำไรภาคเอกชนและการบริโภค ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพื่อล็อกกำไร อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเพิ่มงบประมาณภาครัฐและมาตรการลดภาษีในปีงบประมาณถัดไปช่วยสร้างความเชื่อมั่นเชิงบวกกลับคืนสู่ตลาด

 

หุ้นโลก: ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นในช่วงต้นจากความหวังเชิงบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ความเชื่อมั่นกลับเริ่มแผ่วลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายของ FED ต้องเผชิญอุปสรรคใหม่จากนโยบายภาษีการค้า และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย ตลาดยังคงคาดว่า กำไรต่อหุ้น (EPS)  ของดัชนี S&P 500 จะเติบโต 12% ในปี 2025 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการเมื่อปลายปี 2024 อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าสนใจคือ ช่องว่างการเติบโตของกำไรระหว่างกลุ่ม Mag-7 และหุ้นกลุ่มอื่น เริ่มแคบลงอย่างชัดเจน ตลาดคาดกำไรกลุ่ม Mag-7 (บริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ 7 แห่ง) จะเติบโตที่ 13% ในปี 2025 ลดลงจาก 40% ในปี 2024 ขณะที่หุ้นอีก 493 ตัวใน S&P 500 คาดว่าจะมีกำไรเติบโต 9% เพิ่มขึ้นจากเพียง 4% ในปี 2024 การชะลอตัวของกำไรในกลุ่ม Mag-7 อาจนำไปสู่การ ลดระดับมูลค่าหุ้น (valuation de-rating) และเร่งให้เกิดการ หมุนเวียนการลงทุน (rotation) เข้าสู่หุ้นนอกกลุ่ม Mag-7 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากผลกระทบของภาษีการค้ายัง ไม่สะท้อนอยู่ในประมาณการกำไรในปัจจุบัน หากไม่มีการยกเลิกภาษีอย่างทันท่วงที ก็อาจนำไปสู่การปรับลดประมาณการ EPS ในระยะต่อไป

 

แม้ดัชนี S&P 500 จะปรับตัวลดลง 7% ตั้งแต่ต้นปี แต่มูลค่าหุ้น (Valuation) ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่ถูกนัก โดยมีค่า P/E (Trailing Twelve Months) ที่ 22.6 เท่า ซึ่งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 21.5 เท่า แม้นโยบายภาษีการค้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกได้อย่างรวดเร็ว แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ตามมาอาจสร้างแรงกดดันต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจในสหรัฐฯ และนำไปสู่การปรับฐานรอบใหม่ของตลาด ในกรณีที่สมมุติฐานการเติบโตของกำไรดัชนี S&P 500 ในปี 2025 ถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่งจาก 12% เหลือ 6% และมูลค่าหุ้นถอยกลับสู่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -1 S.D. (P/E ที่ 17.8 เท่า) ดัชนี S&P 500 อาจเผชิญกับการปรับฐานเพิ่มเติมอีก 16% จากระดับปัจจุบัน

 

ตลาดจับตานโยบายลดภาษีนิติบุคคลของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนกำไรของ S&P 500 เติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 1% นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการลดความเข้มงวดในการตรวจสอบดีลควบรวมกิจการ (M&A) ภายใต้รัฐบาลใหม่ รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก (Small-Mid-Caps) นอกจากนี้ โครงสร้างรายได้ของบริษัทในดัชนี Russell แสดงให้เห็นว่าบริษัทใน Russell 1000 (ตัวแทนหุ้นขนาดใหญ่) มีรายได้จากต่างประเทศถึง 39% ขณะที่บริษัทใน Russell 2000 (ตัวแทนหุ้นขนาดเล็ก) มีสัดส่วนเพียง 19.9% ทำให้นโยบายภาษีการค้าตอบโต้ (tit-for-tat tariffs) มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อหุ้นขนาดใหญ่มากกว่าหุ้นขนาดเล็กซึ่งยิ่งกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตไปยังกลุ่ม small caps โดยดัชนี Russell 2000 (หากไม่รวมบริษัทที่ขาดทุน) คาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเฉลี่ย 12.5% ต่อปี ในช่วงปี 2024–2026 ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ trailing P/E เพียง 16.7 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่ากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (large caps) อย่างมีนัยสำคัญ

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น NIKKEI 225 เผชิญแรงขายต่อเนื่องตามหลังการปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม อีกทั้ง ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น ยังต้องเผชิญ ภาษีนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐฯ สูงถึง 25% ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดในประวัติการณ์ถึง 15% ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นอินเดียก็เผชิญแรงกดดันเช่นกันจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2024  ที่ออกมาอ่อนแอในหลายกลุ่ม ระดับ valuations สูงเกินเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รายงานกำไรต่ำกว่าคาดเนื่องจากการบริโภคในชนบทชะลอตัว กลุ่มธนาคารกำลังเผชิญปัญหา คุณภาพสินทรัพย์ที่เริ่มแย่ลง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยประมาณการการเติบโตของกำไรสำหรับดัชนี BSE Sensex ในปี 2025 ถูกปรับลดลงเหลือ 9.6% เมื่อเทียบกับอัตราเติบโตเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา (2019–2024) ที่ 14.9%

 

หุ้นจีน: ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น โดยสินค้าจากจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกเรียกเก็บภาษีรวมสูงถึง 145% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ที่ 125% ซึ่งระดับภาษีเหล่านี้ส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศแทบไม่สามารถดำเนินการได้ จีนส่งออกสินค้ามูลค่ามหาศาลกว่า 439 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังสหรัฐฯ ในปี 2024 คิดเป็น 13.4% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งหากสต็อกสินค้าที่มีอยู่หมดลง จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ ทั้งในรูปแบบของราคาสินค้าที่พุ่งสูง และการขาดแคลนสินค้า โดยมีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯอาจจำเป็นต้องยกเลิกภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ต่อสินค้าจีนในระยะอันใกล้นี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบแง่ลบต่อเศรษฐกิจ ในด้านนโยบายภายใน จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยลง 50bps การปรับลดเงินดาวน์ขั้นต่ำเหลือเพียง 15% สำหรับบ้านทุกประเภท ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังเปิดตัวเครื่องมือทางการเงินใหม่ 2 รายการ เพื่อหนุนตลาดทุน โดยรวมถึงโครงการ Swap ขนาด 71 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินของกองทุน ประกัน และบริษัทหลักทรัพย์ในการซื้อหุ้น โดย PBOC ยืนยันจุดยืนว่า จะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปานกลาง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

                       

มาตรการที่สองของธนาคารกลางจีน (PBOC) คือการจัดสรรวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสูงสุด 42.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่ธนาคารพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการซื้อหุ้นหรือการซื้อหุ้นคืนของหน่วยงานอื่น ๆ นอกจากนี้ จีนได้เปิดตัวโครงการแลกเปลี่ยนหนี้ (Debt Swap) มูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเปิดโอกาสให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถเปลี่ยนหนี้นอกงบประมาณที่มีดอกเบี้ยสูงเป็นพันธบัตรระยะยาว เพื่อลดแรงกดดันทางการเงิน สำหรับด้านการคลัง จีนมีแผนจะดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณในอัตรา 4% ของ GDP ในปี 2025 เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 3% ในปี 2024 โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 5% การเพิ่มเป้าหมายขาดดุลขึ้น 1 จุดเปอร์เซ็นต์ หมายถึงการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นราว 1.3 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 179.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

หลังจากปี 2024 ปิดฉากด้วยผลตอบแทนระดับกลางสองหลัก ซึ่งเป็นการฟื้นตัวในรอบสามปี โดย ดัชนี Hang Seng (HSI) พุ่งขึ้นแล้วกว่า 12% ตั้งแต่ต้นปี แซงหน้าตลาดโลกอย่างชัดเจน ปัจจัยสนับสนุนหลักได้แก่  ผลประกอบการไตรมาส 4 ของกลุ่มเทคโนโลยีแข็งแกร่ง ความคืบหน้าในการพัฒนา AI การประเมินมูลค่าตลาดที่ยังไม่ตึงตัว การเติบโตของกำไรบริษัทเริ่มเร่งตัว และนโยบายการคลังของรัฐยังคงผ่อนคลายและหนุนตลาด แม้จะปรับตัวขึ้นแรงในระยะสั้น ดัชนี HSI ซื้อขายอยู่ที่ P/E ระดับ 11.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และคาดว่า EPS จะเติบโตระดับตัวเลขหลักเดียวในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ดังนั้นจึงยังมี โอกาสให้ผลประกอบการสร้างความประหลาดใจในทางบวกได้อีกมาก สำหรับดัชนี CSI300 ได้รับการปรับประมาณการ EPS เติบโตขึ้นเป็น 19% ในปี 2025 พร้อมด้วยอัตราส่วนราคาต่อการเติบโตของกำไร (PEG ratio) ที่น่าสนใจที่ 0.83 เท่า

 

สินทรัพย์ทางเลือก: การเปลี่ยนนโยบายของ FED สู่ทิศทางผ่อนคลายช่วงต้นปีช่วยหนุนผลตอบแทนของ REITs อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม REITs เผชิญแรงขายอย่างหนักจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งปรับตัวขึ้นมากถึง 128 จุดฐานจากระดับต่ำสุดของปี 2024 เนื่องจากตลาดพยายามสะท้อนความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการขาดดุลงบประมาณสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น แม้สภาวะตลาดจะผันผวน แต่สินทรัพย์ที่ให้กระแสรายได้สม่ำเสมออย่าง REITs และโครงสร้างพื้นฐานยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจถูกกดดันจากการลดดอกเบี้ยของ FED ที่แม้ล่าช้าแต่ยังคงดำเนินต่อ ในกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นรายได้ (Income Investing) นักลงทุนกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารปลอดความเสี่ยง ส่งผลให้สินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่อดอกเบี้ยแต่มีรายได้มั่นคงกลายเป็นที่น่าจับตามองมากขึ้น แรงขายรอบล่าสุดจึงอาจถือเป็นจุดเข้าลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในระยะกลางถึงยาว

 

ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่อาจกลับมาได้ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนราคาทองคำอีกต่อไป ราคาน้ำมันดิบเผชิญแรงกดดันจากการเติบโตของอุปสงค์ที่ยังอ่อนแอ ประกอบกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอุปทานจากทั้งผู้ผลิตในกลุ่ม OPEC+ และนอกกลุ่ม OPEC+ โดย OPEC+ ได้ยืนยันอีกครั้งถึงแผนการทยอยยกเลิกการปรับลดกำลังการผลิตจำนวน 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2025

 

สำหรับปี 2025 แนวทางการลงทุนควรเน้นไปที่กลยุทธ์ที่ลงทุนในหุ้นคุณภาพที่มีมูลค่าน่าสนใจ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) สินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนที่ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของความเสี่ยงที่ลดลง เช่น หุ้นขนาดกลาง-เล็ก และหุ้นในตลาดเกิดใหม่ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงอายุต้นของเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) เปิดโอกาสให้ลงทุนเชิงกลยุทธ์ในช่วงที่คาดว่าจะเกิดการชันของเส้นอัตราผลตอบแทน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มลดลงตามการปรับเปลี่ยนของแนวโน้มเศรษฐกิจ เราแนะนำให้นักลงทุนวางกลยุทธ์การลงทุนโดยอิงพอร์ตโฟลิโอแบบผสมผสานระหว่างการจัดสรรสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Asset Allocation - SAA) และการจัดสรรเชิงกลยุทธ์ระยะสั้น (Tactical Asset Allocation - TAA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนท่ามกลางภาวะความผันผวนของตลาดในทุกสถานการณ์

 

คลิก เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

 

โดย คุณอรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน
Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)