คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน
Weekly Wealth Insights

สู่วงจรดอกเบี้ยขาลง

 

    การคาดการณ์ล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้มีการปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกปี 2024 และ 2025 เป็น 3.2% โดย 2024 มีการปรับเพิ่มขึ้น 30 bps สำหรับปี 2024 เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เดือนตุลาคม อย่างไรก็ดี การคาดการณ์การเติบโตดังกล่าวทั้งในปี 2024 และ 2025 ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (2000-2019) ที่เติบโตเฉลี่ย 3.8% สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวด การนโยบายการคลังที่ลดลง รวมถึงการเติบโตของ Productivity ที่ต่ำ สำหรับเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้ว มีการคาดการณ์การเติบโตเพิ่มขึ้นที่เพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2023 เป็น 1.7% ในปี 2024 และ 1.8% ในปี 2025 ซึ่งเป็นการปรับขึ้น 20 bps สำหรับการคาดการณ์ปี 2024 ขณะที่ด้านเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่และตลาดกำลังพัฒนา การเติบโตคาดว่าจะคงที่ที่ 4.3% ทั้งในปี 2024 และ 2025 อย่างไรก็ตามคาดว่าการเติบโตอาจจะมีการปรับลดลงในตลาดเกิดใหม่ฝั่งเอเชีย ทั้งนี้ ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์และความสามารถของธนาคารกลางทั่วโลกในการจัดการเศรษฐกิจเพื่อให้เข้าสู่“Soft-Landing” เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของ GDP ทั่วโลกทั้งในปีนี้และปีหน้า อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ดังนั้น ความเสี่ยงด้านการค้าโลกและการเติบโตทางเศรษฐกิจจากนโยบายอัตราภาษีการค้ากำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ถูกรับการพิจารณา

 

 

    ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงยังคงดำเนินนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 bps ในเดือนธันวาคมเหลือ 4.25%-4.50% ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งสุดท้ายของปีนี้ โดยเฟดได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งสิ้น 100 bps ในปี 2024 โดย Dot Plot ล่าสุดของเฟดชี้ให้เห็นว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งสิ้น 75 bps สำหรับปี 2025 เฟดคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 2.5% และ 2.1%  และดัชนี Core PCE มีแนวโน้มจะขยายตัวที่ 2.8% และ 2.5% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ มองไปข้างหน้าในปี 2025  เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตลาดแรงงานที่มั่นคงอาจทำให้เฟดชะลอการปรับนโยบายลงได้ โดยจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุมแต่ละครั้งเช่นเดียวกับปี 2024 โดยตลาดมองว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC ในช่วงปลายเดือนมกราคม นอกจากนี้เฟดคาดว่า Core PCE จะลดลงเหลือ 2% ในปี 2026

 

    นโยบายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งแต่เรื่องการลดภาษี ภาษีการค้า และการเนรเทศผู้อพยพทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงเป็นเวลานานอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ ปฏิเสธที่จะตระหนักถึงความเสี่ยงจากนโยบายการคลังจะกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% จนกว่าจะเห็นผลกระทบที่ชัดเจน โดยเฟดมองว่า วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงินรอบนี้เป็นการปรับสมดุล (Recalibration) มากกว่าที่จะเป็นการตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิดหรือตลาดแรงงานที่อ่อนแออย่างมีนัยสำคัญ

 

    เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวในอัตรา 2.8% ในไตรมาสที่ 3 การผิดนัดชำระหนี้ของบัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์ยังคงอยู่ระดับมากกว่าก่อนเกิดโควิดโดยเปอร์เซ็นต์ของยอดที่ค้างชำระอย่างน้อย 30 วันอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับสูง เฟดจึงมีเครื่องมือที่เพียงพอในการจัดการภาวะเศรษฐกิจต่ำตกที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฟดได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ขณะนี้ Dual Mandate อยู่ในภาวะสมดุล และจะมุ่งไปที่การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้กลับมาสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความกังวลที่ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะใกล้นี้ได้ผ่อนคลายลงไป

 

    ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps เป็นครั้งสุดท้ายของปี โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากครั้งที่ 4 เหลือ 3% เมื่อไม่นานมานี้ ECB ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ลงเหลือ 0.8% และ 1.3% และคาดการณ์เงินเฟ้อโต 2.5% และ 2.2% ในปี 2024 และ ปี 2025 ตามลำดับ ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของ Euro Area อยู่ที่ 2.0%  ในเดือนตุลาคม ซึ่งตรงกับเป้าหมายที่ 2% ของ ECB ภาคการผลิตของยูโรโซนอยู่ภายใต้แรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นเวลานานและการแข่งขันจากทั่วโลกที่รุนแรงขึ้น อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1.7% ในเดือนกันยายนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนกันยายนซึ่งได้รับแรงหนุนจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ตัวเลขดังกล่าวทำให้นายแอนดรูว์ เบลีล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางของอังกฤษส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี CPI ขึ้นเป็น 2.7% ในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ในเดือนสิงหาคมที่ 2.2%

 

    เศรษฐกิจญี่ปุ่นการขยายตัว 0.3% YoY ในไตรมาส 3 ปี 2024 หลังจากลดลงติดกัน YoY สองไตรมาส  โดย BOJ กำลังดำเนินการอย่างระมัดระวังระหว่างการพยายามหลีกเลี่ยงแรงกดดันด้านค่าเงินเยนที่มากเกินไปกับการควบคุมเงินเฟ้อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น นาย ชิเงรุ อิชิบะ เน้นย้ำถึงความเป็นอิสระของ BOJ หลังจากมีการประกาศต่อสาธารณะว่า ญี่ปุ่นยังไม่พร้อมที่จะสำหรับการดำเนินนโยบายการที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม  BOJ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. แต่อาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งในปี 2568 ด้านเศรษฐกิจจีน GDP ไตรมาสที่ 3 เติบโตขที่ 4.6% YoY ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย ขณะที่ด้านอินเดียมีการคาดการณ์ GDP เติบโตลดลงเหลือต่ำกว่า 7% หลังจากที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 8.2% เมื่อปีที่แล้ว จากการหดตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ

 

หุ้นโลก: ในช่วงแรกตลาดต้อนรับนโยบายที่เน้นการเติบโตของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ในลักษณะเชิงบวก  แต่เจอเผชิญแรงขายเนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อนั่นยังคงชะลอตัวลงค่อนข้างช้า ตลาดคาดการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี S&P 500 โต 15% ในปี 2025 ซึ่งสูงที่สุดในรอบสี่ปี สิ่งที่น่าสนใจคือ อัตราการเติบโตของรายได้ระหว่างหุ้น “Mag-7” และหุ้นนอก Mag 7 กำลังแคบลง โดยคาดบริษัท Mag-7 จะรายงานการเติบโตของกำไร 21% ในปี 2025 ในขณะที่บริษัทอื่นๆ อีก 493 บริษัทจะรายงานการเติบโตของกำไร 13% ในปี 2025 สะท้อนถึงการเติบโตอย่างมากเมื่อเทียบกับคาดการณ์การเติบโตของกำไรของบริษัทเดียวกันเหล่านี้ในปี 2024 ที่ 4% โดยอัตรากำไรสุทธิของดัชนี S&P 500 คาดว่าจะขยายตัวเป็น 13% ซึ่งสูงที่สุดในรอบอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ

 

แม้ว่าแนวโน้มกำไรจะเป็นบวกก็ตาม Valuation ของ S&P 500 ยังอยู่ในระดับสูงโดยอัตราส่วน P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 26.4 เท่า ซึ่งสูงกว่าทั้งค่าเฉลี่ย 5 ปี และ 10 ปี ที่ 23.4x และ 21.4x ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีมุมมองบวกอันเป็นผลมาจากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลของประธานาธิบดีทรัมป์ทุกๆ 1% จะทำให้กำไรของ S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 1% ความเสี่ยงด้านลบต่อผลตอบแทนหุ้นโลกในปี 2025 ประกอบด้วยนโยบายภาษีการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น การกระจุกตัวของหุ้นไม่กี่ตัวในดัชนีต่างๆ และ Valuation ที่ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ยังผลักดันให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงออกจากบริษัทที่มีคาดการณ์การเติบโตจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ ตลาดยังคงมีการ Rotation ต่อเนื่อง โดยดัชนีหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ Russell 2000 มีผลตอบแทนแซงหน้าดัชนีหุ้นขนาดใหญ่และดัชนีหุ้นเทคโนโลยีอย่าง  S&P 500 และ Nasdaq 100 ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ถึง 1.5% และ 1.1% ตามลำดับ นักลงทุนต่างรู้สึกตื่นเต้นกับการตรวจสอบการควบรวมกิจการ (M&A) ที่จะเข้มงวดน้อยลงภายใต้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และต้นทุนเงินทุนที่ลดลง ซึ่งต่างก็เป็นปัจจัยบวกสำหรับบริษัทขนาดเล็ก โดยรายได้จากต่างประเทศ คิดเป็น 39% ของหุ้นในดัชนี Russell 1000 (ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่สหรัฐฯ) และ 19.9% สำหรับ Russell 2000 ดังนั้น การตอบโต้กันทางภาษีการค้าจะส่งผลกระทบด้านลบต่อหุ้นขนาดใหญ่มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้นักลงทุนสนใจหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น

 

ดัชนี NIKKEI 225 เผชิญแรงกดดันหลังจากมีการเทขายหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม โดยดัชนียังคงต่ำกว่าระดับ All-time High อยู่  6%  แรงกดดันต่อ BOJ ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยดัชนี CPI ในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ BOJ ด้านตลาดหุ้นอินเดียเผชิญกับแรงกดดันจากการถูกขายเนื่องจากมีการไหลออกของเงินทุนเพิ่มขึ้น การปรับลงล่าสุดของตลาดหุ้นอินเดียส่วนใหญ่เมื่อเกิดจาการผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2024 ที่อ่อนแอในภาคส่วนที่สำคัญ อีกทั้งธุรกิจกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการบริโภคในพื้นที่ชนบทรายงานรายได้ต่ำกว่าประมาณการ ขณะที่ด้านธนาคารต้องรับมือกับคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมลง ซึ่งทั้งสองประเด็นดังกล่าวส่งผลให้บรรดานักลงทุนเริ่มมีความวิตกกังวล ความเชื่อมั่นตลาดยิ่งแย่ลงไปจากการที่กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ หรือ DOJ ฟ้องร้องผู้ก่อตั้งและประธานของกลุ่มบริษัทอดานี (Adani)

 

หุ้นจีน: จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดโควิด เพื่อต่อสู้กับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเนื่องจากการเก็บออมเงินของครัวเรือนจีนกว่า 70% อยู่ในอสังหาริมทรัพย์ มาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสนับสนุนตลาดอสังหาฯ รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลง 50 bps และลดข้อกำหนดการชำระเงินดาวน์ขั้นต่ำเหลือ 15% รวมไปถึงมาตรการอื่น ๆ นอกจากนี้ ธนาคารกลางประชาชนจีน (PBOC) ยังออกมาตรการกระตุ้นตลาดทุน มาตรการแรกคือโปรแกรม Swap มูลค่า 71,000 ล้านเหรียญที่จะช่วยให้กองทุน บริษัทประกัน และนายหน้าสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อหุ้นได้ง่ายขึ้น

 

มาตรการที่สอง คือ PBOC ให้เงินกู้แก่ธนาคารพาณิชย์มูลค่า 42,500 ล้านเหรียญในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกเพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถระดมทุน เพื่อช่วยเป็นแหล่งเงินทุนให้กับหน่วยงานอื่นๆ ในการซื้อหุ้นและซื้อหุ้นคืน PBOC ได้มีการปรับลดอัตราส่วนเงินสำรอง (RRR) ลง 50 bps และจะมีการปรับลดอีกหากเงื่อนไขสภาพคล่องเหมาะสม อีกทั้งยังได้มีการออกโครงการ Debt Swap มูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถแลกเปลี่ยนหนี้นอกระบบซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นพันธบัตรระยะยาวได้ จีนตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณ 4% ของ GDP ในปีหน้า เพื่อพยุงการบริโภคซึ่งมากกว่าเป้าหมาย 3% ในปี 2024 โดยตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ที่ 5%  ซึ่งการขาดดุลที่เพิ่มขึ้น 1% ของ GDP หมายความว่ามีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 ล้านล้านหยวน (179,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของตลาดที่ต่ำควบคู่กับ Valuation ที่น่าสนใจ อาจส่งผลให้เห็นการปรับตัวขึ้นของตลาดจีนในปี 2025 หากการฟื้นตัวเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากตลาดปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันดัชนี HSI ซื้อขายในระดับไม่แพงที่ P/E 9.9 เท่าซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยมีการคาดการณ์การเติบโตของ EPS ที่ 4.5% YoY ในปี 2025 และ 7.8% YoY 2026 ด้านดัชนี CSI300 แผ่นดินใหญ่คาดการณ์การเติบโตของรายได้ใกล้เคียงกันที่ 10.3% ในปี 2025 คาดว่าราคาบ้านยังคงปรับลดลง 8.5% ในปี 2024 เทียบการคาดการณ์ในเดือนพฤษภาคมว่าจะลดลง 5.0% อย่างไรก็ดี จีนกำลังรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่เพื่อปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต

 

สินทรัพย์ทางเลือก: การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ FED ทำให้ REITs ให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยดัชนี FTSE EPRA Nareit Developed ซึ่งเป็นตัวแทนของ REITs ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น 16% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนจัดพอร์ตโดยมองปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยขาลง REITs แต่เผชิญกับแรงขายเนื่องจากผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้น 94 bps จากจุดต่ำสุดของปี ขณะที่ตลาดคาดอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตกันใกล้เนื่องจากการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม REITs และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน ยังคงได้รับประโยชน์จากการจัดสรรเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลจะยังคงได้รับแรงกดดัน จากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายเฟด ในมุมของกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่สร้างรายได้นอกเหนือจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยและมีกระแสเงินสดที่มั่นคง

 

ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจยุติลงเร็วกว่าที่คิด ส่งผลให้ราคาทองคำได้รับผลกระทบด้านลบ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกรวมไปถึงอุปทานพลังงานอาจยุติลงอย่างกะทันหันภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบยังไม่ถึงขั้นกดดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเนื่องจากอุปสงค์จากจีนและยุโรปชะลอจากเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดคาดว่าจะมีกิจกรรมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในอนาคต

 

หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจและมีโอกาสในการลงทุนมากมายทั่วโลก อย่างไรก็ตามช่วงปี 2025 นักลงทุนควรให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม REITs สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และสินทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์จาก Risk Premiums ที่ต่ำลง เช่นหุ้นขนาดเล็กและหุ้นตลาดเกิดใหม่ นอกเหนือจากนี้ เหตุการณ์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีกลับมาให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีอย่างคาดไม่ถึง ถึงแม้ว่าเพียงเล็กส่งผลให้เกิดโอกาสในการลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯระยะสั้น โดยเราแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานกลยุทธ์ทั้ง Strategic Asset Allocation (SAA) และ Tactical Asset Allocation (TAA) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์

 

 

อรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist 

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

 

>> ดาวน์โหลดเอกสาร เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม