Search
Back
เอกสิทธิ์สำหรับสมาชิก CIMB Preferred  
CIMB Rewards Program  
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ  
กิจกรรมและสัมมนา  
บริการ CIMB Preferred ผ่าน LINE OA Wealth&Preferred  
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ  
บริการทางการเงินและการลงทุน  
2025 Outlook  
มุมมองการลงทุนประจำเดือน  
กองทุนแนะนำ  
กองทุนรวม (Mutual Fund)  
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส  
Lifestyle  
หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง  
วางแผนทางการเงิน  
Weekly Wealth Insights  
ตลาดตราสารหนี้  
วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred  
ติดต่อเรา  
สาขาของเรา  
You're viewing:
Preferred Banking
Other Sites
logo
TH

Executive Summary


เมี่อตลาดเดิมพันครั้งใหญ่กับ AI การกระจายการลงทุนคือกุญแจสำคัญ



ในเดือนตุลาคม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของ GDP โลกในปี 2025 ขึ้นเป็น 3.2% เพิ่มขึ้น 0.2% จากประมาณการเดิม ขณะที่ประมาณการปี 2026 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่/ประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโต 1.6% และ 4.2% ตามลำดับในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ 1.5% และ 4.1% การปรับเพิ่มประมาณการในครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจาก การลดภาษีนำเข้าของสหรัฐ ฯ การเร่งส่งออกไปยังสหรัฐ ฯ ล่วงหน้า และนโยบายการเงิน–การคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก IMF คาดว่าจะชะลอลงมาอยู่ที่ 4.2% ในปี 2025 และ 3.7% ในปี 2026 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนจากประมาณการก่อนหน้า ขณะที่ ประมาณการปริมาณการค้าทั่วโลก ถูกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 3.6% และ 2.3% สำหรับปี 2025 และ 2026 (จากเดิม 1% และ 0.4%) สะท้อนถึงความชัดเจนที่มากขึ้นจากข้อตกลงทางการค้าในหลายภูมิภาค

 

ธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (FED) กลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีกครั้ง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน หลังตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ถูกปรับลดลงรวม 911,000 ตำแหน่ง ในช่วง 12 เดือนสิ้นสุดมีนาคม 2025 ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ สร้างงานเฉลี่ยเพียง 71,000 ตำแหน่งต่อเดือน ลดลงถึง 52% จากตัวเลขรายงานเบื้องต้น ตลาดคาดว่า อัตราดอกเบี้ย FED Funds จะลดลงมาอยู่ในช่วง 2.75–3% ภายในสิ้นปี 2026 (ลดลงราว 125bps จากปัจจุบัน) เนื่องจาก FED ต้องการปกป้องตลาดแรงงาน แม้จะเผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อระยะสั้นจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ประธาน FED เจอโรม พาวเวลล์ ระบุว่าโครงการ ลดสภาพคล่อง (Quantitative Tightening: QT) ซึ่งมีขนาดปีละประมาณ 480,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจสิ้นสุดในไม่ช้า เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับระบบการเงิน อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อเดือนกันยายน ยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของ FED โดย CPI และ Core CPI เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ส่งผลให้ FED ต้องเผชิญ ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการรักษาความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ข้อมูลล่าสุดจาก dot-plot ของ FED บ่งชี้ว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 50bps ภายในปี 2025 โดยคาดว่าจะลดลง 25bps ในเดือนตุลาคม และอีก 25bps ในเดือนธันวาคม FED ปรับประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ เพิ่ม สำหรับปี 2025 และ 2026 จากเดิม 1.4% และ 1.6% เป็น 1.6% และ 1.8% ตามลำดับ ขณะที่ ประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) สำหรับปี 2025 คงไว้ที่ 3.1% แต่ได้ปรับเพิ่ม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2026 เป็น 2.6% จาก 2.4% นโยบายของ FED ในระยะนี้สะท้อนว่าให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านตลาดแรงงานมากกว่าเงินเฟ้อระยะสั้น ด้านการเมือง รัฐบาลทรัมป์คาดว่าจะปรับลดจำนวนพนักงานรัฐบาลกลางราว 300,000 ตำแหน่งภายในสิ้นปี คิดเป็นประมาณ 12.5% ของแรงงานภาครัฐ (ไม่รวมไปรษณีย์) การแทรกแซงของประธานาธิบดีทรัมป์ในหน่วยงานของรัฐ อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลทางเศรษฐกิจ และสร้างแรงกดดันต่อความเป็นอิสระของ FED นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำตัดสินให้ผู้ว่าการ FED ลิซา คุก (Lisa Cook) สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ โดยคดีนี้เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของศาลสูงสุด (Supreme Court) เป็นลำดับถัดไป

 

ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (EU) สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับ สหรัฐ ฯ ได้สำเร็จ โดยจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 15% จากทั้งสองภูมิภาค แลกกับข้อตกลงผูกพันด้านการจัดซื้อพลังงานและการลงทุน ทั้งนี้ สินค้าบางประเภทอาจได้รับการปรับลดหรือเพิ่มอัตราภาษีเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาในรอบต่อไป ฝั่งของจีนปัจจุบันเผชิญภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ ฯ ในอัตรา 55% ซึ่งลดลงจากเดิมที่ 145% อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ว่าจะเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน หากการเจรจาเกี่ยวกับการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) ไม่เป็นที่น่าพอใจ ขณะที่ อินเดีย ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 50% เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์จับตาการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างเข้มงวด สำหรับ เม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งเป็นสองประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ ฯ ถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% และ 35% ตามลำดับ สำหรับสินค้าที่อยู่นอกขอบเขตข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (USMCA) โดยการเจรจายังคงดำเนินต่อไปเพื่อหาข้อยุติ

 

 

 

หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 8 ครั้ง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ คงอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ECB ได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของ GDP ปี 2025 จากเดิม 0.9% เป็น 1.2% แต่ได้ปรับลดคาดการณ์ปี 2026 ลงเล็กน้อยจาก 1.1% เหลือ 1.0% นอกจากนี้ ECB ยังประกาศว่า โครงการซื้อสินทรัพย์ (APP) และ โครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินในช่วงโควิด (PEPP) จะไม่ทำการนำเงินต้นจากพันธบัตรที่ครบกำหนดกลับไปลงทุนใหม่อีกต่อไป ท่ามกลางแรงกดดันจากอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอ ECB จึงเริ่มเปลี่ยนนโยบายสู่การผ่อนคลายเชิงรุก (aggressive easing pivot) เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางในภูมิภาคยุโรป

 

หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ 7 ต่อ 2 เสียง ในการประชุมเดือนกันยายน ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4% ทั้งนี้ BOE ยังคงเปิดช่องสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกหนึ่งครั้งภายในปีนี้ หากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อพิสูจน์ได้ว่าเป็นเพียงชั่วคราว นอกจากนี้ BOE ยังได้ปรับลดขนาดโครงการดูดซับสภาพคล่อง (Quantitative Tightening: QT) ลงเหลือ 70,000 ล้านปอนด์ต่อปีซึ่งลดลงประมาณ 30% จากปีก่อนหน้า ในเดือนกันยายนเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) และ เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ยังอยู่เหนือเป้าหมายของ BOE โดยเพิ่มขึ้น 3.8%YoY และ 3.5%YoY ตามลำดับ ทั้งนี้คาดว่า CPI จะทรงตัวอยู่ราว 3.75% ตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 2025

 

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติ 8 ต่อ 1 เสียง ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 0.5% ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี และได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมนับแต่นั้นมา ตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคมของ BOJ คาดว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ในปี 2025 จะอยู่ในช่วง 2.8%–3.0% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 2.2%–2.4% สะท้อนว่าแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% อย่างต่อเนื่อง ตลาดคาดว่า BOJ อาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกครั้งในปี 2025 หลังจากที่ธนาคารยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมเดือนกันยายน ในส่วนของการเติบโตทางเศรษฐกิจ BOJ ได้ ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปี 2025 ขึ้นเป็นช่วง 0.5%–0.7% จากเดิมที่คาดไว้ 0.4%–0.6% ด้านเศรษฐกิจจีน GDP ในช่วง 9 เดือนแรกของปีเติบโต 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม การเติบโตในไตรมาส 3 ชะลอลงเหลือ 4.8% เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและภาคอสังหาริมทรัพย์อ่อนตัวลง

 

เศรษฐกิจอินเดีย (GDP) ชะลอตัวลงเหลือ 6.5% ในปี 2025 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการหดตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 9.2% ในปี 2024 ดัชนีหุ้นหลักของอินเดียยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เล็กน้อย หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 100bps ตั้งแต่ต้นปี 2025 ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม ในการประชุมล่าสุด มีความคาดหวังเชิงบวกจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ การชะลอตัวของเงินเฟ้อและมาตรการลดภาษี นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Real Interest Rate) นั่นสูงถึง 3–4% ทำให้ RBI มีพื้นที่ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป สำหรับปี 2026 RBI ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโต GDP จาก 6.5% เป็น 6.8% โดยได้รับแรงหนุนจาก มาตรการกระตุ้นทางการเงินและการคลัง …

 

ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็ม

MONTHLY INVESTMENT UPDATE เดือนพฤศจิกายน 2568

 

 

Executive Summary โดย คุณอรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน

Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)