เจาะลึกการลงทุนใน "ยูเรเนียมและพลังงานนิวเคลียร์": โอกาสการเติบโตที่น่าจับตามองในปี 2025
ในยุคที่ทั่วโลกเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน พลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียมได้กลับมาเป็นธีมการลงทุนที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่อุตสาหกรรมนี้เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วง 3–5 ปีที่ผ่านมา แรงหนุนสำคัญมาจากความต้องการพลังงานที่ยั่งยืน การสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และภาวะอุปทานที่ตึงตัว ซึ่งล้วนมีส่วนผลักดันราคายูเรเนียมให้เพิ่มขึ้นจากระดับราว 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปอนด์ในปี 2020 สู่ระดับกว่า 60–80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปอนด์ในปี 2025
ข้อมูลจาก World Nuclear Association (WNA) ระบุว่า ปัจจุบันมีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์กว่า 440 เครื่องทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 9% ของกำลังการผลิตไฟฟ้า รวมถึงอีกกว่า 70 เครื่องที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมากกว่า 100 เครื่องในแผนพัฒนา โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรปตะวันออก ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ฝั่งอุปทานยังคงจำกัด WNA ประเมินว่าเหมืองยูเรเนียมทั่วโลกสามารถตอบสนองความต้องการได้เพียงประมาณ 74% เท่านั้น โดยเฉพาะ Kazatomprom บริษัทผู้ผลิตยูเรเนียมรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 43% ได้ประกาศลดเป้าหมายการผลิตในปี 2025 ลงราว 17% จากปัญหาการจัดหาวัตถุดิบและข้อจำกัดทางเทคนิค ยิ่งตอกย้ำภาวะตึงตัวของตลาดยูเรเนียมในระยะกลาง
ความต้องการจากภาคเทคโนโลยีเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทชั้นนำอย่าง Meta, Google, Microsoft และ Oracle ต่างหันมาใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าสูง ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เองก็ได้เร่งเพิ่มการผลิตยูเรเนียมในประเทศตั้งแต่ปี 2024 เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างเสถียรภาพด้านพลังงาน
ETF ที่เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมยูเรเนียมและพลังงานนิวเคลียร์ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน เช่น Global X Uranium ETF (URA), Sprott Uranium Miners ETF (URNM) และ VanEck Uranium+Nuclear Energy ETF (NLR) โดยเฉพาะ NLR ซึ่งโดดเด่นด้วยการกระจายการลงทุนระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์และเหมืองยูเรเนียมชั้นนำทั่วโลก แตกต่างจาก ETF อื่นที่เน้นลงทุนเฉพาะกลุ่มเหมือง ล่าสุดผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) อยู่ที่ประมาณ +41.8% (ณ ก.ค. 2025)