คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน

One Big Beautiful Bill’ ทรัมป์เดินหน้าลดภาษี เพิ่มการใช้จ่าย

 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP โลกลงเหลือ 2.8% และ 3.0% สำหรับปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตช่วงปี 2000–2019 ที่อยู่ที่ 3.7% อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.4% และ 3.7% ในปี 2025 ลดลงจากการคาดการณ์เดิมที่ 1.9% และ 4.2% ตามลำดับ ในด้านเงินเฟ้อ IMF คาดว่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.2% และ 3.6% ในปี 2025 และ 2026 ขณะที่การเติบโตของปริมาณการค้าโลกก็ถูกปรับลดลงเช่นกันเหลือเพียง 1.7% จากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 3.8% อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของภาษีการค้า ในอีกด้านหนึ่ง ความร่วมมือพหุภาคีกำลังเผชิญความเสี่ยงครั้งใหม่จากความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งอาจส่งผลกระทบต่อกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดการกระจายตัวมากขึ้น และนำไปสู่เงินเฟ้อเชิงโครงสร้างที่สูงขึ้นทั่วโลก นโยบายของทรัมป์เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ การค้า ภาษี งบประมาณขาดดุล และผู้อพยพ มีแนวโน้มที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดตลอดปี 2025 อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในหลากหลายสินทรัพย์ สำหรับนักลงทุนที่มีสายตาเฉียบคมและพร้อมรับความเสี่ยง

 

หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบเร่งล่วงหน้าไปแล้วรวม 100 bps ในปี 2024 ล่าสุดในการประชุม FOMC เดือนมีนาคม FED ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง และตลาดแรงงานที่มีเสถียรภาพ ซึ่งทำให้ FED รอทยอยปรับนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติต่างจากช่วงปลายปี 2024 ที่มีการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องทุกการประชุม ขณะนี้ FED หยุดวงจรการลดดอกเบี้ยชั่วคราว โดยจาก Dot-Plot ล่าสุด FED คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยรวม 50 bps ในปี 2025 แต่ตลาดกลับคาดการณ์ว่าการลดดอกเบี้ยจะมากถึง 100 bps เนื่องจากความกังวลว่าภาษีการค้าอาจฉุดดีมานด์และกระทบเศรษฐกิจโดยรวมFED ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวที่ระดับ 1.7% และ 1.8% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 2.8% ในปี 2025 ซึ่งสะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่จางหายไปง่าย ๆ

 

ตลาดคาดว่า FED จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอย่างน้อยจนถึงเดือนกันยายน โดยในขณะนี้ FED อยู่ในโหมด “wait and see” ท่ามกลางการประกาศใช้นโยบายใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระตุ้นเงินเฟ้อในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) คาดว่าจะลดลงแตะเป้าหมาย 2% ได้ในปี 2027 เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ประธาน FED เจอโรม พาวเวลล์ ยังหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับความเสี่ยงจากนโยบายการคลังต่อเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% จนกว่าผลกระทบจะเริ่มปรากฏชัดเจน อย่างไรก็ตาม มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเมื่อพาวเวลล์ออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างชัดเจน FED ยังย้ำว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินในรอบนี้เป็นการ “ปรับสมดุลเชิงนโยบาย” (recalibration) มากกว่าจะเป็นการตอบสนองต่อมุมมองเศรษฐกิจที่แย่ลงอย่างฉับพลัน หรือเป็นผลจากการทรุดตัวลงของตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ

 

การปลดพนักงานภาครัฐของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการและมีการวางแผนไว้ รวมแล้วขณะนี้อยู่ที่ 216,000 ตำแหน่ง โดยมีพนักงานอีกราว 75,000 คนที่ยอมรับข้อเสนอแยกตัวโดยสมัครใจ (Voluntary Buyout) ซึ่งการปลดคนงานเหล่านี้ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ตึงตัวอยู่แล้วของสหรัฐฯ ปัจจุบันรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีพนักงานประมาณ 2.4 ล้านคน (ไม่รวมพนักงานของไปรษณีย์สหรัฐฯ) หรือคิดเป็นประมาณ 1.9% ของแรงงานภาคพลเรือนทั้งหมดของประเทศ การปลดพนักงานครั้งนี้จึงอาจกลายเป็นการลดขนาดกำลังคนภาครัฐครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาซูซาน อิลสตัน (Susan Illston) ได้มีคำสั่งห้ามเบื้องต้น (Preliminary Injunction) เพื่อระงับการปลดพนักงานเพิ่มเติมไว้ชั่วคราว ซึ่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งดังกล่าวแล้ว

 

ขณะเดียวกัน ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มอ่อนตัวลง สะท้อนความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการว่างงานและคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายภาษีศุลกากรยังมีความไม่แน่นอนสูง การผ่อนปรนภาษีแบบต่างตอบแทนระยะเวลา 90 วันสำหรับทุกประเทศ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 8 กรกฎาคม ไม่ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้ตลาดนักลงทุนมากนัก เนื่องจากภาษี 25% สำหรับรถยนต์และเหล็กยังคงอยู่ เช่นเดียวกับภาษีพื้นฐาน 10% และภาษี 30% ที่ยังใช้กับสินค้าจากจีน แม้จะลดลงจากเดิมที่ 145% ก็ตาม ทั้งนี้ แม้สหรัฐฯ จะยกเลิกภาษีการค้าทั้งหมดทันที ก็ยังมีผลกระทบเชิงลบต่อ GDP อยู่ดี โดยคาดว่าภาษีดังกล่าวจะลด GDP ของสหรัฐฯ ลงราว 1% จากศักยภาพเดิม

 

ในการประชุมล่าสุด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสำคัญทั้งสามลงอีก 25 bps ก่อนหน้านี้ ECB ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP สำหรับปี 2025 และ 2026 ลงเหลือเพียง 0.9% และ 1.2% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง นอกจากนี้ ECB ยังยุติการนำเงินต้นที่ได้จากหลักทรัพย์ที่ครบกำหนดในโครงการซื้อสินทรัพย์ (APP) และโครงการฉุกเฉินในช่วงโควิด-19 (PEPP) กลับมาลงทุนต่ออีกด้วย การดำเนินนโยบายในครั้งนี้สะท้อนถึงจุดเปลี่ยนที่ ECB หันมาใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงรุกมากขึ้น เพื่อพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแรงในภูมิภาคยุโรป

                                                                                                                                           

ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แอนดรูว์ เบลีย์ ได้ส่งสัญญาณถึงแนวทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เร่งตัวขึ้น โดยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ในเดือนกุมภาพันธ์ และอีก 25 bps ในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.25% BOE ยังได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ในปี 2025 ลงครึ่งหนึ่ง จากเดิม 1.5% เหลือเพียง 0.75% สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ตลาดคาดว่า BOE จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอย่างน้อยอีกหนึ่งครั้งภายในปี 2025 ในเดือนเมษายน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เพิ่มขึ้น 3.5% และ 3.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนตามลำดับ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคบริการ อย่างไรก็ตาม BOE คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะทยอยลดลงและเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% ในระยะต่อไป

 

หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคม คณะกรรมการได้ลงมติ 8 ต่อ 1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps สู่ระดับ 0.5% ในเดือนมกราคม ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของ BOJ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยรวมทั้งปี 2025 อาจแตะ 50 bps อย่างไรก็ตาม BOJ ยังคงมีความยืดหยุ่นในการชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หากภาษีศุลกากรส่งผลกระทบเชิงลบต่อแนวโน้มการเติบโตและเงินเฟ้อ ด้านเศรษฐกิจจีน สิ้นปี 2024 ด้วยภาพรวมที่แข็งแกร่งเกินคาด โดย GDP ไตรมาส 4 ปี 2024 ขยายตัว 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคงเติบโตในอัตรา 5.4% ต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2025 ขณะที่เศรษฐกิจอินเดียถูกปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2024 ลงเหลือ 6.5% จากเดิมที่ขยายตัวแรงถึง 8.2% ในปี 2023 โดยการชะลอตัวครั้งนี้เป็นผลจากการหดตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ ดัชนีตลาดหุ้นหลักของอินเดียยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดราว 4% โดยนักลงทุนต่างชาติเพิ่มการขายสุทธิเพื่อทำกำไรจากความกังวลต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนและการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังเพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการลดภาษีในปีงบประมาณถัดไปซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

 

ตลาดหุ้นโลก: แม้ตลาดจะต้อนรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างอบอุ่นในช่วงแรก แต่ความเชื่อมั่นกลับเริ่มอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว เมื่อแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายของ FED ต้องเผชิญอุปสรรคใหม่จากภาษีการค้าและอัตราเงินเฟ้อที่ยังยึดติดอยู่ในระดับสูง ตลาดคาดว่า ดัชนี S&P 500 จะมีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโต 11% ในปี 2025 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดไว้ช่วงปลายปี 2024 จุดที่น่าสนใจคือ อัตราการเติบโตของกำไรระหว่างกลุ่มหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ “Mag-7” กับหุ้นกลุ่มอื่นๆ กำลังเริ่มแคบลง โดยคาดกำไรกลุ่ม Mag-7 จะเติบโตเพียง 13% ในปี 2025 ลดลงอย่างมากจาก 40% ในปี 2024 ขณะที่บริษัทอีก 493 แห่งในดัชนี S&P 500 คาดว่าจะมีกำไรเติบโต 9% ในปี 2025 เร่งตัวจาก 4% ในปี 2024 แนวโน้มการชะลอตัวของการเติบโตในกลุ่ม Mag-7 อาจนำไปสู่การถูกปรับลดมูลค่าหุ้น (valuation de-rating) และส่งผลให้เงินทุนเริ่มหมุนไปยังหุ้นนอกกลุ่ม Mag-7 มากขึ้น ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากภาษีการค้าที่อาจกระทบต่อประมาณการกำไรของบริษัทต่างๆ ยังไม่สะท้อนอยู่ในราคาหุ้นมากนัก ดังนั้นหากไม่มีการยกเลิกภาษีการค้าอย่างรวดเร็วมีความเป็นไปได้ที่ EPS ของตลาดจะถูกปรับลดลงในระยะต่อไป

 

หลังจากที่ดัชนี S&P500 ร่วงลงถึง 19% จากระดับสูงสุดและฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วถึง 16% valuation ยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยมี S&P500 มี P/E ย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ 24.8 เท่า อัตราส่วนนี้ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีที่ระดับ 21.8 เท่า แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีนำเข้า แม้มาตรการภาษีจะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปมาและสามารถกลับตัวได้ในระยะสั้นแต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นก็อาจสร้างผลกระทบด้านลบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้ หากการเติบโตของกำไรในปี 2025 ของดัชนี S&P500 ถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 6% และ valuation ถอยกลับมาอยู่ในระดับ -1 s.d.  จากค่าเฉลี่ย P/E 10 ปี  (P/E ที่ 17.8 เท่า) ดัชนี S&P500 อาจเผชิญกับการปรับฐานลงถึง 23% จากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ อัตราภาษีมีผลบังคับใช้จริงในสหรัฐฯ (Effective Rariff Rate) ขณะนี้อยู่ที่ 13% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 1941 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

 

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอ “Big Beautiful Bill” ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่จะทำให้การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมรดกภายใต้กฎหมาย TCJA ปี 2017 กลายเป็นมาตรการถาวร โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ยังรวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงชายแดน ยกเว้นภาษีจากทิปและค่าล่วงเวลา และเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนภาษีของรัฐและท้องถิ่น (SALT) จาก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีอย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้จะเพิ่มภาระขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า และจะผลักดันอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 100% เป็น 125% ภายในปี 2034 ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็กำลังเผชิญกับภาวะขาดดุลงบประมาณประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หรือคิดเป็นมากกว่า 6% ของ GDP ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว จาก 61.3% ในปี 2005 เป็น 121.9% ในปี 2024 ขณะที่ยอดหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 341% แม้ว่าระดับหนี้ที่สูงจะเป็นประเด็นที่น่ากังวล แต่ความเสี่ยงในระยะสั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ที่มีอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP เกิน 200% ไปแล้ว

 

นักลงทุนแสดงความตื่นเต้นต่อแนวโน้มการตรวจสอบควบรวมกิจการ (M&A) ที่อาจผ่อนคลายลงภายใต้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ประกอบกับต้นทุนเงินทุนที่ลดลง ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กถึงกลาง (Small-Mid Cap) นอกจากนี้ รายได้จากต่างประเทศของบริษัทในดัชนี Russell 1000 ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่ มีสัดส่วนถึง 39% ขณะที่บริษัทในดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก มีรายได้จากต่างประเทศเพียง 19.9% เท่านั้น ส่งผลให้มาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศจะกระทบต่อหุ้นขนาดใหญ่มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก และยิ่งกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนในหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น เมื่อไม่รวมบริษัทที่มีกำไรติดลบ ตลาดคาดว่าบริษัทในดัชนี Russell 2000 จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.8% ในช่วงปี 2024–2026 โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรย้อนหลัง (Trailing P/E) อยู่ที่ 18.3 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้หุ้นขนาดเล็กดูน่าสนใจมากขึ้นในเชิง valuation

 

ดัชนี NIKKEI225 เผชิญแรงขายตามการเทขายหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ช่วงเดือนสิงหาคม ประกอบกับความกังวลต่อภาคยานยนต์ของญี่ปุ่นที่อาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 25% จากสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 9% ในขณะเดียวกัน การร่วงลงของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงหลัง มาจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปีงบประมาณ 2024 (Q3 FY24) ที่อ่อนแอในหลายภาคส่วนสำคัญ รวมถึงมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการบริโภคในพื้นที่ชนบท ทำให้กำไรออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ธนาคารในอินเดียกำลังเผชิญกับคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลง ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุน อัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของดัชนี BSE Sensex ในช่วงปี 2024–2026 ถูกปรับลดลงเหลือ 11.9% จากอัตราเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019–2024) ที่ 14.7%

 

ตลาดหุ้นจีน: จีนกำลังเผชิญกับการปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ ใหม่ที่ระดับ 30% และได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ระดับ 10% ก่อนหน้านี้ การตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 145% และ 125% ทำให้การค้าระหว่างสองประเทศแทบเป็นไปไม่ได้ ในปี 2024 จีนส่งออกสินค้ามูลค่าสูงถึง 439,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 13.4% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ สถานะของจีนในฐานะผู้จัดหาสินค้าจำเป็นรายหลักและเชื่อถือได้ให้กับผู้บริโภคชาวอเมริกัน ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าดังกล่าวมีแนวโน้มส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ ทั้งในรูปแบบของการปรับขึ้นราคาและปัญหาขาดแคลนสินค้า เมื่อสินค้าคงคลังที่มีอยู่หมดลง อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายภาษีที่เก็บกับสินค้าจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้สร้างแรงหนุนและความโล่งใจให้กับตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของจีนรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิมลง 50 bps  และการลดเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับการซื้อบ้านทุกประเภทเหลือเพียง 15% นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ 2 รายการเพื่อสนับสนุนตลาดทุน

หนึ่งในนั้นคือโครงการสวอป (Swap Program) วงเงิน 71,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้กองทุนประกันภัยและบริษัทหลักทรัพย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นเพื่อนำไปซื้อหุ้นธนาคารกลางจีนระบุในแถลงการณ์ว่า จะ “ใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปานกลาง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา PBOC ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้  Loan Prime Rate (LPR) ทั้งระยะเวลา 1 ปี และ 5 ปี ลงอีก 10 จุดพื้นฐาน หลังจากที่เพิ่งลดอัตราส่วนสำรองเงินสดของธนาคาร (RRR) ลง 50 จุดพื้นฐานก่อนหน้านั้น

                                                                                                                          

มาตรการที่สองของธนาคารกลางจีน (PBOC) คือการจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมูลค่าสูงถึง 42,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับธนาคารพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนการซื้อหุ้นและการทำ buyback ของบริษัทต่าง ๆ ผ่านการให้สินเชื่อ นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้เปิดตัวโครงการสลับหนี้ (debt swap) มูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถแลกเปลี่ยนหนี้นอกงบดุลที่มีดอกเบี้ยสูงกับพันธบัตรระยะยาวที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า จีนมีแผนจะขาดดุลงบประมาณในระดับ 4% ของ GDP ในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ 3% สำหรับปี 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 5% การเพิ่มระดับการขาดดุลงบประมาณขึ้นอีก 1% ของ GDP เทียบเท่ากับการใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 1.3 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 179.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

หลังจากสิ้นสุดปี 2024 ด้วยผลตอบแทนระดับกลางถึงสูง (mid-teens) ซึ่งนับเป็นการพลิกฟื้นครั้งแรกในรอบสามปีของตลาดหุ้นจีน ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index: HSI) พุ่งขึ้นถึง 16% ตั้งแต่ต้นปี (YTD) แซงหน้าตลาดหุ้นหลักทั่วโลกอย่างชัดเจน แรงหนุนสำคัญมาจากผลประกอบการไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่งของกลุ่มเทคโนโลยี และความคืบหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประกอบกับความคาดหวังในตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ มูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูด การเติบโตของกำไรที่เร่งตัวขึ้น และการสนับสนุนทางการคลังอย่างต่อเนื่อง ล้วนช่วยผลักดันให้ผลตอบแทนของตลาดแข็งแกร่ง หลังจากการปรับตัวขึ้นล่าสุด valuation ดัชนี HSI อยู่ที่ระดับ P/E 10.6 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีเล็กน้อย ขณะที่การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี 2025 ของ HSI ถูกประเมินไว้เพียงระดับเลขหลักเดียวต้นๆ (early-single digit) ซึ่งยังเปิดโอกาสให้มีการปรับประมาณการขึ้นหากผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด สำหรับดัชนี CSI300 การเติบโตของ EPS ในปี 2025 ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 16% โดยมีอัตราส่วน PEG (Price-to-Earnings-to-Growth) ที่น่าดึงดูดอยู่ที่ 0.99 เท่า แสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของกำไร

สินทรัพย์ทางเลือก: การเปลี่ยนจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในช่วงแรกได้ช่วยหนุนผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม REITs ต้องเผชิญกับแรงขายอย่างหนักหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นถึง 128 bps จากระดับต่ำสุดในปี 2024 โดยมีความผันผวนสูงจากความพยายามของตลาดในการประเมินผลกระทบจากการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แม้จะเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น REITs และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานยังคงได้รับประโยชน์จากการจัดสรรเงินลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ โดยเฉพาะในบริบทที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มถูกกดดันทั่วทั้งเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) จากการปรับนโยบายผ่อนคลายของ FED ที่แม้จะล่าช้า แต่ยังดำเนินต่อไปในฐานะส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างกระแสรายได้ นักลงทุนเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอนอกเหนือจากตราสารที่ปลอดความเสี่ยง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายผลตอบแทน ซึ่งแนวโน้มนี้จะส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยและมีกระแสเงินสดมั่นคง แรงขายล่าสุดจึงอาจถือเป็นจังหวะเข้าลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว

 

ความไม่แน่นอนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาทองคำอีกต่อไป ในทางกลับกัน ราคาน้ำมันดิบกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเติบโตของอุปสงค์ที่อ่อนแอ ประกอบกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิต ทั้งจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ และประเทศนอกกลุ่ม OPEC+ โดยล่าสุด OPEC+ ได้ยืนยันอีกครั้งถึงแผนการทยอยยกเลิกการลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2025

 

สำหรับปี 2025 การลงทุนควรเน้นไปที่กองทุนที่ลงทุนในหุ้นคุณภาพที่มี valuation  เหมาะสมรวมถึงทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนที่ได้ประโยชน์จากความเสี่ยงที่ลดลง เช่น หุ้นขนาดเล็กถึงกลาง และหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ส่วนต้นของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นโอกาสลงทุนระยะสั้นที่น่าสนใจ เพราะมีโอกาสที่เส้นอัตราผลตอบแทนจะชันขึ้น (Curve Steepening) และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ยังอาจปรับลดลงตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป เราขอแนะนำให้นักลงทุนบริหารพอร์ตลงทุนโดยใช้วิธีผสมผสานระหว่างการวางแผนลงทุนระยะยาวและการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลาด เพื่อช่วยจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน พร้อมรับมือกับความผันผวนในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

คลิก เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

 

 

โดย คุณอรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน
Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)