{{tile.title}}
{{tile.description}}
{{tile.expiryDate}}
คุณอยู่ที่
We will be right with you.
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
❘ 1 Jun 2025
อ่าน 5 นาที
One Big Beautiful Bill’ ทรัมป์เดินหน้าลดภาษี เพิ่มการใช้จ่าย
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP โลกลงเหลือ 2.8% และ 3.0% สำหรับปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตช่วงปี 2000–2019 ที่อยู่ที่ 3.7% อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.4% และ 3.7% ในปี 2025 ลดลงจากการคาดการณ์เดิมที่ 1.9% และ 4.2% ตามลำดับ ในด้านเงินเฟ้อ IMF คาดว่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.2% และ 3.6% ในปี 2025 และ 2026 ขณะที่การเติบโตของปริมาณการค้าโลกก็ถูกปรับลดลงเช่นกันเหลือเพียง 1.7% จากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 3.8% อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของภาษีการค้า ในอีกด้านหนึ่ง ความร่วมมือพหุภาคีกำลังเผชิญความเสี่ยงครั้งใหม่จากความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งอาจส่งผลกระทบต่อกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดการกระจายตัวมากขึ้น และนำไปสู่เงินเฟ้อเชิงโครงสร้างที่สูงขึ้นทั่วโลก นโยบายของทรัมป์เกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ การค้า ภาษี งบประมาณขาดดุล และผู้อพยพ มีแนวโน้มที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดตลอดปี 2025 อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในหลากหลายสินทรัพย์ สำหรับนักลงทุนที่มีสายตาเฉียบคมและพร้อมรับความเสี่ยง
หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบเร่งล่วงหน้าไปแล้วรวม 100 bps ในปี 2024 ล่าสุดในการประชุม FOMC เดือนมีนาคม FED ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง และตลาดแรงงานที่มีเสถียรภาพ ซึ่งทำให้ FED รอทยอยปรับนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติต่างจากช่วงปลายปี 2024 ที่มีการปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่องทุกการประชุม ขณะนี้ FED หยุดวงจรการลดดอกเบี้ยชั่วคราว โดยจาก Dot-Plot ล่าสุด FED คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยรวม 50 bps ในปี 2025 แต่ตลาดกลับคาดการณ์ว่าการลดดอกเบี้ยจะมากถึง 100 bps เนื่องจากความกังวลว่าภาษีการค้าอาจฉุดดีมานด์และกระทบเศรษฐกิจโดยรวมFED ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวที่ระดับ 1.7% และ 1.8% ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 2.8% ในปี 2025 ซึ่งสะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่จางหายไปง่าย ๆ
ตลาดคาดว่า FED จะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอย่างน้อยจนถึงเดือนกันยายน โดยในขณะนี้ FED อยู่ในโหมด “wait and see” ท่ามกลางการประกาศใช้นโยบายใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระตุ้นเงินเฟ้อในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) คาดว่าจะลดลงแตะเป้าหมาย 2% ได้ในปี 2027 เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ประธาน FED เจอโรม พาวเวลล์ ยังหลีกเลี่ยงที่จะยอมรับความเสี่ยงจากนโยบายการคลังต่อเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% จนกว่าผลกระทบจะเริ่มปรากฏชัดเจน อย่างไรก็ตาม มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเมื่อพาวเวลล์ออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างชัดเจน FED ยังย้ำว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินในรอบนี้เป็นการ “ปรับสมดุลเชิงนโยบาย” (recalibration) มากกว่าจะเป็นการตอบสนองต่อมุมมองเศรษฐกิจที่แย่ลงอย่างฉับพลัน หรือเป็นผลจากการทรุดตัวลงของตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ
การปลดพนักงานภาครัฐของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการและมีการวางแผนไว้ รวมแล้วขณะนี้อยู่ที่ 216,000 ตำแหน่ง โดยมีพนักงานอีกราว 75,000 คนที่ยอมรับข้อเสนอแยกตัวโดยสมัครใจ (Voluntary Buyout) ซึ่งการปลดคนงานเหล่านี้ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ตึงตัวอยู่แล้วของสหรัฐฯ ปัจจุบันรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีพนักงานประมาณ 2.4 ล้านคน (ไม่รวมพนักงานของไปรษณีย์สหรัฐฯ) หรือคิดเป็นประมาณ 1.9% ของแรงงานภาคพลเรือนทั้งหมดของประเทศ การปลดพนักงานครั้งนี้จึงอาจกลายเป็นการลดขนาดกำลังคนภาครัฐครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาซูซาน อิลสตัน (Susan Illston) ได้มีคำสั่งห้ามเบื้องต้น (Preliminary Injunction) เพื่อระงับการปลดพนักงานเพิ่มเติมไว้ชั่วคราว ซึ่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งดังกล่าวแล้ว
ขณะเดียวกัน ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มอ่อนตัวลง สะท้อนความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการว่างงานและคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่นโยบายภาษีศุลกากรยังมีความไม่แน่นอนสูง การผ่อนปรนภาษีแบบต่างตอบแทนระยะเวลา 90 วันสำหรับทุกประเทศ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 8 กรกฎาคม ไม่ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้ตลาดนักลงทุนมากนัก เนื่องจากภาษี 25% สำหรับรถยนต์และเหล็กยังคงอยู่ เช่นเดียวกับภาษีพื้นฐาน 10% และภาษี 30% ที่ยังใช้กับสินค้าจากจีน แม้จะลดลงจากเดิมที่ 145% ก็ตาม ทั้งนี้ แม้สหรัฐฯ จะยกเลิกภาษีการค้าทั้งหมดทันที ก็ยังมีผลกระทบเชิงลบต่อ GDP อยู่ดี โดยคาดว่าภาษีดังกล่าวจะลด GDP ของสหรัฐฯ ลงราว 1% จากศักยภาพเดิม
ในการประชุมล่าสุด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสำคัญทั้งสามลงอีก 25 bps ก่อนหน้านี้ ECB ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP สำหรับปี 2025 และ 2026 ลงเหลือเพียง 0.9% และ 1.2% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง นอกจากนี้ ECB ยังยุติการนำเงินต้นที่ได้จากหลักทรัพย์ที่ครบกำหนดในโครงการซื้อสินทรัพย์ (APP) และโครงการฉุกเฉินในช่วงโควิด-19 (PEPP) กลับมาลงทุนต่ออีกด้วย การดำเนินนโยบายในครั้งนี้สะท้อนถึงจุดเปลี่ยนที่ ECB หันมาใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงรุกมากขึ้น เพื่อพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแรงในภูมิภาคยุโรป
ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) แอนดรูว์ เบลีย์ ได้ส่งสัญญาณถึงแนวทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เร่งตัวขึ้น โดยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ในเดือนกุมภาพันธ์ และอีก 25 bps ในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.25% BOE ยังได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP ในปี 2025 ลงครึ่งหนึ่ง จากเดิม 1.5% เหลือเพียง 0.75% สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ตลาดคาดว่า BOE จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอย่างน้อยอีกหนึ่งครั้งภายในปี 2025 ในเดือนเมษายน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เพิ่มขึ้น 3.5% และ 3.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนตามลำดับ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคบริการ อย่างไรก็ตาม BOE คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะทยอยลดลงและเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% ในระยะต่อไป
หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคม คณะกรรมการได้ลงมติ 8 ต่อ 1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps สู่ระดับ 0.5% ในเดือนมกราคม ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของ BOJ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยรวมทั้งปี 2025 อาจแตะ 50 bps อย่างไรก็ตาม BOJ ยังคงมีความยืดหยุ่นในการชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หากภาษีศุลกากรส่งผลกระทบเชิงลบต่อแนวโน้มการเติบโตและเงินเฟ้อ ด้านเศรษฐกิจจีน สิ้นปี 2024 ด้วยภาพรวมที่แข็งแกร่งเกินคาด โดย GDP ไตรมาส 4 ปี 2024 ขยายตัว 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคงเติบโตในอัตรา 5.4% ต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2025 ขณะที่เศรษฐกิจอินเดียถูกปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2024 ลงเหลือ 6.5% จากเดิมที่ขยายตัวแรงถึง 8.2% ในปี 2023 โดยการชะลอตัวครั้งนี้เป็นผลจากการหดตัวของการใช้จ่ายภาครัฐ ดัชนีตลาดหุ้นหลักของอินเดียยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดราว 4% โดยนักลงทุนต่างชาติเพิ่มการขายสุทธิเพื่อทำกำไรจากความกังวลต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนและการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังเพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายภาครัฐและมาตรการลดภาษีในปีงบประมาณถัดไปซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ตลาดหุ้นโลก: แม้ตลาดจะต้อนรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างอบอุ่นในช่วงแรก แต่ความเชื่อมั่นกลับเริ่มอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว เมื่อแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายของ FED ต้องเผชิญอุปสรรคใหม่จากภาษีการค้าและอัตราเงินเฟ้อที่ยังยึดติดอยู่ในระดับสูง ตลาดคาดว่า ดัชนี S&P 500 จะมีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโต 11% ในปี 2025 ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากที่คาดไว้ช่วงปลายปี 2024 จุดที่น่าสนใจคือ อัตราการเติบโตของกำไรระหว่างกลุ่มหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ “Mag-7” กับหุ้นกลุ่มอื่นๆ กำลังเริ่มแคบลง โดยคาดกำไรกลุ่ม Mag-7 จะเติบโตเพียง 13% ในปี 2025 ลดลงอย่างมากจาก 40% ในปี 2024 ขณะที่บริษัทอีก 493 แห่งในดัชนี S&P 500 คาดว่าจะมีกำไรเติบโต 9% ในปี 2025 เร่งตัวจาก 4% ในปี 2024 แนวโน้มการชะลอตัวของการเติบโตในกลุ่ม Mag-7 อาจนำไปสู่การถูกปรับลดมูลค่าหุ้น (valuation de-rating) และส่งผลให้เงินทุนเริ่มหมุนไปยังหุ้นนอกกลุ่ม Mag-7 มากขึ้น ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากภาษีการค้าที่อาจกระทบต่อประมาณการกำไรของบริษัทต่างๆ ยังไม่สะท้อนอยู่ในราคาหุ้นมากนัก ดังนั้นหากไม่มีการยกเลิกภาษีการค้าอย่างรวดเร็วมีความเป็นไปได้ที่ EPS ของตลาดจะถูกปรับลดลงในระยะต่อไป
หลังจากที่ดัชนี S&P500 ร่วงลงถึง 19% จากระดับสูงสุดและฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วถึง 16% valuation ยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยมี S&P500 มี P/E ย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ 24.8 เท่า อัตราส่วนนี้ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีที่ระดับ 21.8 เท่า แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีนำเข้า แม้มาตรการภาษีจะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปมาและสามารถกลับตัวได้ในระยะสั้นแต่ความผันผวนที่เกิดขึ้นก็อาจสร้างผลกระทบด้านลบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้ หากการเติบโตของกำไรในปี 2025 ของดัชนี S&P500 ถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 6% และ valuation ถอยกลับมาอยู่ในระดับ -1 s.d. จากค่าเฉลี่ย P/E 10 ปี (P/E ที่ 17.8 เท่า) ดัชนี S&P500 อาจเผชิญกับการปรับฐานลงถึง 23% จากระดับปัจจุบัน ทั้งนี้ อัตราภาษีมีผลบังคับใช้จริงในสหรัฐฯ (Effective Rariff Rate) ขณะนี้อยู่ที่ 13% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 1941 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอ “Big Beautiful Bill” ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่จะทำให้การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีมรดกภายใต้กฎหมาย TCJA ปี 2017 กลายเป็นมาตรการถาวร โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ยังรวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงชายแดน ยกเว้นภาษีจากทิปและค่าล่วงเวลา และเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนภาษีของรัฐและท้องถิ่น (SALT) จาก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีอย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้จะเพิ่มภาระขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า และจะผลักดันอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 100% เป็น 125% ภายในปี 2034 ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็กำลังเผชิญกับภาวะขาดดุลงบประมาณประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หรือคิดเป็นมากกว่า 6% ของ GDP ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว จาก 61.3% ในปี 2005 เป็น 121.9% ในปี 2024 ขณะที่ยอดหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 341% แม้ว่าระดับหนี้ที่สูงจะเป็นประเด็นที่น่ากังวล แต่ความเสี่ยงในระยะสั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ที่มีอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP เกิน 200% ไปแล้ว
นักลงทุนแสดงความตื่นเต้นต่อแนวโน้มการตรวจสอบควบรวมกิจการ (M&A) ที่อาจผ่อนคลายลงภายใต้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ประกอบกับต้นทุนเงินทุนที่ลดลง ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กถึงกลาง (Small-Mid Cap) นอกจากนี้ รายได้จากต่างประเทศของบริษัทในดัชนี Russell 1000 ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่ มีสัดส่วนถึง 39% ขณะที่บริษัทในดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก มีรายได้จากต่างประเทศเพียง 19.9% เท่านั้น ส่งผลให้มาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศจะกระทบต่อหุ้นขนาดใหญ่มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก และยิ่งกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนในหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น เมื่อไม่รวมบริษัทที่มีกำไรติดลบ ตลาดคาดว่าบริษัทในดัชนี Russell 2000 จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.8% ในช่วงปี 2024–2026 โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรย้อนหลัง (Trailing P/E) อยู่ที่ 18.3 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้หุ้นขนาดเล็กดูน่าสนใจมากขึ้นในเชิง valuation
ดัชนี NIKKEI225 เผชิญแรงขายตามการเทขายหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ช่วงเดือนสิงหาคม ประกอบกับความกังวลต่อภาคยานยนต์ของญี่ปุ่นที่อาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 25% จากสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 9% ในขณะเดียวกัน การร่วงลงของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงหลัง มาจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปีงบประมาณ 2024 (Q3 FY24) ที่อ่อนแอในหลายภาคส่วนสำคัญ รวมถึงมูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการบริโภคในพื้นที่ชนบท ทำให้กำไรออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ธนาคารในอินเดียกำลังเผชิญกับคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลง ซึ่งสร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุน อัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของดัชนี BSE Sensex ในช่วงปี 2024–2026 ถูกปรับลดลงเหลือ 11.9% จากอัตราเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019–2024) ที่ 14.7%
ตลาดหุ้นจีน: จีนกำลังเผชิญกับการปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ ใหม่ที่ระดับ 30% และได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ระดับ 10% ก่อนหน้านี้ การตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 145% และ 125% ทำให้การค้าระหว่างสองประเทศแทบเป็นไปไม่ได้ ในปี 2024 จีนส่งออกสินค้ามูลค่าสูงถึง 439,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 13.4% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ สถานะของจีนในฐานะผู้จัดหาสินค้าจำเป็นรายหลักและเชื่อถือได้ให้กับผู้บริโภคชาวอเมริกัน ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าดังกล่าวมีแนวโน้มส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ ทั้งในรูปแบบของการปรับขึ้นราคาและปัญหาขาดแคลนสินค้า เมื่อสินค้าคงคลังที่มีอยู่หมดลง อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายภาษีที่เก็บกับสินค้าจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้สร้างแรงหนุนและความโล่งใจให้กับตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของจีนรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิมลง 50 bps และการลดเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับการซื้อบ้านทุกประเภทเหลือเพียง 15% นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ 2 รายการเพื่อสนับสนุนตลาดทุน
หนึ่งในนั้นคือโครงการสวอป (Swap Program) วงเงิน 71,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้กองทุนประกันภัยและบริษัทหลักทรัพย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นเพื่อนำไปซื้อหุ้นธนาคารกลางจีนระบุในแถลงการณ์ว่า จะ “ใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปานกลาง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา PBOC ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ Loan Prime Rate (LPR) ทั้งระยะเวลา 1 ปี และ 5 ปี ลงอีก 10 จุดพื้นฐาน หลังจากที่เพิ่งลดอัตราส่วนสำรองเงินสดของธนาคาร (RRR) ลง 50 จุดพื้นฐานก่อนหน้านั้น
มาตรการที่สองของธนาคารกลางจีน (PBOC) คือการจัดสรรเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมูลค่าสูงถึง 42,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับธนาคารพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนการซื้อหุ้นและการทำ buyback ของบริษัทต่าง ๆ ผ่านการให้สินเชื่อ นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้เปิดตัวโครงการสลับหนี้ (debt swap) มูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถแลกเปลี่ยนหนี้นอกงบดุลที่มีดอกเบี้ยสูงกับพันธบัตรระยะยาวที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า จีนมีแผนจะขาดดุลงบประมาณในระดับ 4% ของ GDP ในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ 3% สำหรับปี 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 5% การเพิ่มระดับการขาดดุลงบประมาณขึ้นอีก 1% ของ GDP เทียบเท่ากับการใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 1.3 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 179.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หลังจากสิ้นสุดปี 2024 ด้วยผลตอบแทนระดับกลางถึงสูง (mid-teens) ซึ่งนับเป็นการพลิกฟื้นครั้งแรกในรอบสามปีของตลาดหุ้นจีน ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index: HSI) พุ่งขึ้นถึง 16% ตั้งแต่ต้นปี (YTD) แซงหน้าตลาดหุ้นหลักทั่วโลกอย่างชัดเจน แรงหนุนสำคัญมาจากผลประกอบการไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่งของกลุ่มเทคโนโลยี และความคืบหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประกอบกับความคาดหวังในตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ มูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูด การเติบโตของกำไรที่เร่งตัวขึ้น และการสนับสนุนทางการคลังอย่างต่อเนื่อง ล้วนช่วยผลักดันให้ผลตอบแทนของตลาดแข็งแกร่ง หลังจากการปรับตัวขึ้นล่าสุด valuation ดัชนี HSI อยู่ที่ระดับ P/E 10.6 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีเล็กน้อย ขณะที่การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปี 2025 ของ HSI ถูกประเมินไว้เพียงระดับเลขหลักเดียวต้นๆ (early-single digit) ซึ่งยังเปิดโอกาสให้มีการปรับประมาณการขึ้นหากผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด สำหรับดัชนี CSI300 การเติบโตของ EPS ในปี 2025 ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 16% โดยมีอัตราส่วน PEG (Price-to-Earnings-to-Growth) ที่น่าดึงดูดอยู่ที่ 0.99 เท่า แสดงให้เห็นถึงมูลค่าที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของกำไร
สินทรัพย์ทางเลือก: การเปลี่ยนจุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในช่วงแรกได้ช่วยหนุนผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม REITs ต้องเผชิญกับแรงขายอย่างหนักหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นถึง 128 bps จากระดับต่ำสุดในปี 2024 โดยมีความผันผวนสูงจากความพยายามของตลาดในการประเมินผลกระทบจากการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แม้จะเผชิญแรงกดดันในระยะสั้น REITs และสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานยังคงได้รับประโยชน์จากการจัดสรรเงินลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ โดยเฉพาะในบริบทที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มถูกกดดันทั่วทั้งเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) จากการปรับนโยบายผ่อนคลายของ FED ที่แม้จะล่าช้า แต่ยังดำเนินต่อไปในฐานะส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างกระแสรายได้ นักลงทุนเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอนอกเหนือจากตราสารที่ปลอดความเสี่ยง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายผลตอบแทน ซึ่งแนวโน้มนี้จะส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยและมีกระแสเงินสดมั่นคง แรงขายล่าสุดจึงอาจถือเป็นจังหวะเข้าลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว
ความไม่แน่นอนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาสูงขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาทองคำอีกต่อไป ในทางกลับกัน ราคาน้ำมันดิบกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเติบโตของอุปสงค์ที่อ่อนแอ ประกอบกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิต ทั้งจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ และประเทศนอกกลุ่ม OPEC+ โดยล่าสุด OPEC+ ได้ยืนยันอีกครั้งถึงแผนการทยอยยกเลิกการลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2025
สำหรับปี 2025 การลงทุนควรเน้นไปที่กองทุนที่ลงทุนในหุ้นคุณภาพที่มี valuation เหมาะสมรวมถึงทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนที่ได้ประโยชน์จากความเสี่ยงที่ลดลง เช่น หุ้นขนาดเล็กถึงกลาง และหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ส่วนต้นของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นโอกาสลงทุนระยะสั้นที่น่าสนใจ เพราะมีโอกาสที่เส้นอัตราผลตอบแทนจะชันขึ้น (Curve Steepening) และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ยังอาจปรับลดลงตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป เราขอแนะนำให้นักลงทุนบริหารพอร์ตลงทุนโดยใช้วิธีผสมผสานระหว่างการวางแผนลงทุนระยะยาวและการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลาด เพื่อช่วยจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน พร้อมรับมือกับความผันผวนในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คลิก เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
โดย คุณอรุณ ปาวา, IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน
Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
ลิงค์นี้จัดทำขึ้นเพื่อความสะดวกเท่านั้นและจะไม่ได้รับการพิจารณาหรือตีความว่าเป็นการรับรองหรือการตรวจสอบลิงค์ของเว็บไซต์หรือเนื้อหาดังกล่าวโดยธนาคารซีไอเอ็มบี
ธนาคารซีไอเอ็มบีไม่รับประกันสถานะของลิงค์นี้หรือข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์ที่คุณกำลังจะเข้าถึง
คุณต้องการดำเนินการต่อหรือไม่