คุณอยู่ที่

  • ทำไมต้อง CIMB Preferred
  • บริการเพื่อความมั่งคั่ง
  • บทความ
  • วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
  • บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
  • ลิงค์ด่วน
วิธีการเข้าร่วมเป็น CIMB Preferred
บริการช่วยเหลือสำหรับคุณ
CIMB Rewards Program
โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะ
กิจกรรมและสัมมนา
ค้นหาระดับความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
บริการทางการเงินและการลงทุน
2025 Outlook
มุมมองการลงทุนประจำเดือน
กองทุนแนะนำ
กองทุนรวม (Mutual Fund)
มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนรายไตรมาส
Lifestyle
Structured Debenture
วางแผนทางการเงิน
Weekly Wealth Insights

บทสรุปภาษีการค้าสหรัฐ ฯ พาโลกเข้าสู่ยุค Deglobalization  

 

บทสรุปการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ฯ และการเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้า นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการทวนกระแส

โลกาภิวัตน์ (Deglobalization)
 

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกากลับมาเป็นศูนย์กลางของการเจรจาทางเศรษฐกิจโลกอีกครั้งด้วยการประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่ มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า ความมั่นคงของชาติ และการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งได้จุดประกายให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทั้งในสหรัฐ ฯ เองและต่างประเทศ
 

การใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและซับซ้อนในสหรัฐ ฯ โดยปกติแล้ว ภาษีนำเข้าถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมที่กำลังเริ่มต้น ตอบโต้การค้าที่ไม่เป็นธรรมของต่างชาติ หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจเชิงกลยุทธ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความถี่และขนาดของการประกาศภาษีนำเข้าได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของลำดับความสำคัญในเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์  สหรัฐอเมริกากำลังดำเนินนโยบายภาษีนำเข้าที่หลากหลายกับหลายประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่มีผลกระทบที่สำคัญและซับซ้อนต่อทั้งเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก


______________________________________________________________________________________________________
 

สหรัฐอเมริกามีการขาดดุลการค้ามาอย่างยาวนาน ซึ่งหมายถึงการที่สหรัฐ ฯ นำเข้าสินค้าและบริการมากกว่าส่งออก การขาดดุลนี้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและมีนัยยะสำคัญต่อการค้าโลกและนโยบายภายในประเทศ

 

 

 

 

โดยเหตุผลหลักคือรัฐบาลสหรัฐ ฯ อ้างถึงข้อกังวลด้านความมั่นคงเป็นเหตุผลหลักในการกำหนดเป้าหมายในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง โดยการลดการพึ่งพาแหล่งผลิตจากต่างประเทศ สหรัฐ ฯ หวังที่จะปกป้องโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ นอกจากนี้ภาษีนำเข้าจะช่วยสร้างความเท่าเทียมกันสำหรับบริษัทสหรัฐ ฯ ซึ่งหลายแห่งต้องแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนจากรัฐบาลหรือมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม โดยปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยภาษีล่าสุดเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่เพื่อ "นำการผลิตกลับมา" ในประเทศ และเพื่อให้มั่นใจว่ามีการเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นได้ เพื่อรัฐบาลจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องงานและอุตสาหกรรมของชาวอเมริกัน


______________________________________________________________________________________________________


 

สรุปไทม์ไลน์ของเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษี

 

1 กุมภาพันธ์ 2025: มีการประกาศภาษีชุดใหม่หลายรายการ รวมถึงภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และ 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา (โดยมีข้อยกเว้นสำหรับผลิตภัณฑ์พลังงาน) ภาษีเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับปัญหายาเสพติดและการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

 

4 มีนาคม 2025: ภาษีสำหรับแคนาดาและเม็กซิโกมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ผ่านเกณฑ์ภายใต้ข้อตกลงสหรัฐอเมริกา - เม็กซิโก - แคนาดา (USMCA) ได้รับการยกเว้น ซึ่งหมายความว่าการค้าส่วนใหญ่ระหว่างประเทศเหล่านี้ยังคงไม่มีภาษี

 

2 เมษายน 2025: มีการประกาศ "ภาษีตอบแทน" (reciprocal tariffs) ชุดใหญ่ ซึ่งรวมถึงภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าเกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ และภาษีที่สูงขึ้นอย่างมากสำหรับบางประเทศ เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า "วันแห่งการปลดปล่อย"

 

5 เมษายน 2025: ภาษีสากล 10% มีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม หลังจากความผันผวนในตลาด ภาษีเฉพาะประเทศหลายรายการถูกระงับไว้เป็นเวลา 90 วันเพื่อเจรจา

 

7 สิงหาคม 2025: หลังจากล่าช้ามาหลายครั้ง ภาษีตอบแทนก็มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการกับสินค้าส่งออกของกว่า 60 ประเทศและสหภาพยุโรป อัตราภาษีเหล่านี้เป็นผลมาจากการเจรจาในช่วงที่ระงับไว้ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มอัตราสำหรับประเทศอย่างแคนาดาและสวิตเซอร์แลนด์ และการลดอัตราสำหรับประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้


______________________________________________________________________________________________________

 

 

สรุปภาพรวมภาษีนำเข้าของสหรัฐ ฯ ในปัจจุบัน

 

การบังคับใช้ในวงกว้าง: สหรัฐ ฯ ได้กำหนดภาษีนำเข้ากับสินค้าจากคู่ค้าหลากหลายประเทศ รวมถึงประเทศในยุโรป เอเชีย และอเมริกา อัตราภาษีแตกต่างกันอย่างมาก โดยมีอัตราพื้นฐานที่ 10% สำหรับหลายประเทศ และอัตราที่สูงขึ้นมาก (สูงถึง 41%) สำหรับบางประเทศ

 

ภาษีเฉพาะรายภาคส่วน (Sector-Specific Tariffs): ภาคส่วนเฉพาะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น มีภาษีสูงสำหรับเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และรถยนต์ เสื้อผ้า สิ่งทอ หรือเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรม ก็ต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงเช่นกัน

 

ภาษีที่ประกาศใหม่นี้มีเป้าหมายที่สินค้าหลากหลายประเภท โดยเน้นเป็นพิเศษในภาคส่วนที่ถือว่ามีความสำคัญต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติสหรัฐ ฯ ในบรรดาภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างเด่นชัดที่สุด ได้แก่

 

  • กลุ่มยานยนต์:

    เพื่อตอบสนองต่อความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน สหรัฐ ฯ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าบางชนิด การดำเนินการนี้มีเจตนาเพื่อปกป้องผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศและส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ ฯ ให้แข็งแกร่ง โดยอัตราเดิมที่ 25% สำหรับรถยนต์นำเข้าได้ถูกลดลงสำหรับคู่ค้าสำคัญบางราย ข้อตกลงทางการค้าใหม่ได้กำหนดอัตราภาษีพื้นฐานที่ 15% สำหรับยานยนต์และชิ้นส่วนจากคู่ค้ารายใหญ่ รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม ยานยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกยังคงต้องเสียภาษี 25% โดยมีข้อยกเว้นสำหรับเนื้อหาสินค้าที่ตรงตามข้อกำหนดของข้อตกลงการค้า USMCA

     

  • เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง:

    ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของเซมิคอนดักเตอร์ สหรัฐ ฯ ได้ขยายภาษีนำเข้าครอบคลุมชิปและผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เป้าหมายคือการจูงใจให้เกิดการผลิตภายในประเทศและลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้นได้ แผนภาษีใหม่สำหรับ "เซมิคอนดักเตอร์และชิป" กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาซึ่งอาจจะเห็นความชัดเจนได้ในอนาคต ซึ่งเป็นผลมาจากการสืบสวนของกระทรวงพาณิชย์ในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ การดำเนินการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการผลิตชิปในประเทศ

     

  • แผงโซลาร์และส่วนประกอบพลังงานสะอาด:

    เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนและส่งเสริมภาคส่วนพลังงานสะอาดที่ผลิตในประเทศ ภาษีนำเข้าสำหรับแผงโซลาร์และส่วนประกอบต่าง ๆ จึงถูกปรับขึ้นหรือขยายเวลาออกไป

     

  • เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม:

    รัฐบาลได้คงไว้และในบางกรณีได้ขยายการเก็บภาษีนำเข้าสำหรับเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมบางชนิด เพื่อปกป้องผู้ผลิตชาวอเมริกันจากสิ่งที่ถูกอธิบายว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศที่ได้รับการอุดหนุนอย่างไม่เป็นธรรม อัตราภาษีนำเข้าสำหรับเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมได้เพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 50% สำหรับหลายประเทศ การดำเนินการนี้มีเจตนาเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ จากสิ่งที่รัฐบาลพิจารณาว่าเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมและกำลังการผลิตส่วนเกินทั่วโลก  แต่คู่ค้าบางราย เช่น สหราชอาณาจักร ยังคงต้องเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าคือ 25% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาทางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่

     

  • ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรม:

จากความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด สหรัฐ ฯ ได้ประกาศใช้ภาษีนำเข้าเฉพาะสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์และเภสัชกรรมบางชนิด โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตและการสำรองในประเทศ คาดว่าภาษีที่เสนอสำหรับเวชภัณฑ์จะเริ่มต้นในอัตราที่ต่ำ แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในช่วงหนึ่งถึงหนึ่งปีครึ่ง ซึ่งอาจสูงถึง 250% นี่เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการหารือครั้งก่อนหน้าที่เคยมีการพูดถึงอัตรา 200% อัตราที่สูงนี้มีจุดประสงค์เพื่อบังคับให้บริษัทเวชภัณฑ์ย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐอเมริกา

 

 

ในกรณีของภาษีนำเข้าในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ และเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลสมัยใหม่ ภาษีที่อาจเกิดขึ้นจึงมีน้ำหนักมหาศาล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าประธานาธิบดียังไม่ได้ให้รายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวกับนโยบาย ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดผลกระทบและเป้าหมายที่แท้จริงซึ่งอาจจะเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อในระยะถัดไป อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการคาดเดามานานหลายเดือน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเก็บภาษีเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น เมื่อวันพุธที่ 6 สิงหาคม ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และชิปในอัตรา 100% แต่จะยกเว้นให้กับบริษัทที่ "กำลังสร้างโรงงานในสหรัฐฯ" อาทิเช่นเช่น TSMC และ Samsung Electronics ได้ลงทุนหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ซี่งรายระเอียดนอกเหนือจากนี้ยังต้องติดตามต่อ เนื่องจากหากพิจารณาเพียงการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้าเซมิคอนดักเตอร์มูลค่า 4.63 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเพียงประมาณ 1% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ตามข้อมูลจาก Information Technology and Innovation Foundation

 

ภาษีตอบโต้และการเจรจา (Reciprocal Tariffs and Negotiations): ภาษีเหล่านี้มักถูกเรียกว่า "ภาษีตอบโต้" และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการค้า บางประเทศ เช่น เม็กซิโก ได้รับการผ่อนปรนชั่วคราวหรือบรรลุข้อตกลงเพื่อลดอัตราภาษี ในขณะที่บางประเทศกลับเห็นอัตราภาษีเพิ่มขึ้น เป้าหมายของนโยบายนี้คือการบีบบังคับให้คู่ค้ายอมรับเงื่อนไขที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าได้เปรียบมากกว่า

 

โดยประเด็นที่จะถูกกล่าวถึงในรายงานนี้จะเป็นส่วนภาษีตอบโต้และการเจรจา (Reciprocal Tariffs and Negotiations) ที่จะเริ่มมีการเรียกเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2025 และจีนที่จะสิ้นสุดการเจรจาในวันที่ 12 สิงหาคม โดยสามารถสรุปตามคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเรียงตามมูคค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2024

 

 

 

 

 

สรุปอัตราภาษีสำคัญแยกตามคู่ค้ารายใหญ่

 

  • จีน: จีนเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หลังจากช่วงเวลาที่อัตราภาษีผันผวนและมีการเจรจา

    สหรัฐ ฯ ได้กำหนดอัตราภาษีที่สูงมากกับสินค้าจีน ซึ่งเคยสูงถึง 145% รายงานล่าสุดระบุว่ามีการสงบศึกชั่วคราว โดยมีอัตราภาษีปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อการเจรจาดำเนินต่อไป

     

  • แคนาดา: ภาษีที่กำหนดกับแคนาดาเป็นประเด็นที่น่าขัดแย้ง โดยเฉพาะกับเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และสินค้าอื่น ๆ อัตราภาษีนำเข้าจากแคนาดาปัจจุบันมีรายงานว่าอยู่ที่ 35% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากอัตราก่อนหน้านี้

     

  • เม็กซิโก: เช่นเดียวกับแคนาดา เม็กซิโกต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสินค้าหลากหลายประเภท อัตราภาษีปัจจุบันสำหรับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากเม็กซิโกอยู่ที่ประมาณ 25% โดยมีสินค้าบางรายการที่ได้รับการยกเว้นภายใต้ข้อตกลงการค้า USMCA

     

  • สหภาพยุโรป: สหภาพยุโรปก็อยู่ภายใต้ระบอบภาษีใหม่เช่นกัน อัตราภาษีสำหรับสินค้าส่วนใหญ่จากสหภาพยุโรปอยู่ที่ประมาณ 15% แม้ว่าสินค้าบางหมวดหมู่อาจมีอัตรา 0% หากมีภาษีนำเข้าของสหรัฐ ฯ ที่สูงกว่า 15% อยู่แล้ว

     

  • อินเดีย: อินเดียถูกเก็บภาษีในอัตราสูงสุดที่มีการประกาศไว้ที่ 25% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการค้าใหม่ และมีภาษีเพิ่มเติมอีก 25% สำหรับสินค้าที่ค้าขายกับรัสเซีย

     

  • เวียดนาม: เวียดนามเป็นคู่ค้าสำคัญและต้องเสียภาษีนำเข้า 20% ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงเล็กน้อยจากอัตราที่เคยเสนอไว้ก่อนหน้านี้

     

  • สหราชอาณาจักร: สหราชอาณาจักรต้องเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า โดยอยู่ที่ 10% ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการมีส่วนร่วมทางการทูตอย่างต่อเนื่อง

     

  • ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีอัตราภาษีนำเข้า 15% สำหรับสินค้าของตน ซึ่งเป็นอัตราที่กำหนดขึ้นจากข้อตกลงทางการค้าล่าสุด

 

ประเทศอื่น ๆ ที่มีอัตราภาษีที่น่าสนใจ 

 

  • ภาษีสูงสุด: บางประเทศกำลังเผชิญกับภาษีที่สูงเป็นพิเศษ ได้แก่: ซีเรีย 41%, ลาวและเมียนมา 40%, สวิตเซอร์แลนด์ 39%, อิรักและเซอร์เบีย 35%, ลิเบียและแอลจีเรีย 30% และแอฟริกาใต้ 30% 

 

  • ภาษีสำคัญอื่น ๆ:  บังกลาเทศ 20%, ไต้หวัน 20%, อินโดนีเซีย 19%, มาเลเซีย 19%, ฟิลิปปินส์ 19% และ ไทย 19%

 

 

นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าจับตาอีกประเด็นคือข้อยกเว้น De Minimis ของสหรัฐ ฯ หมายถึงพัสดุขนาดเล็กที่ส่งตรงไปยังผู้บริโภคจากต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าปลีกไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ โดยพัสดุเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องมีการสำแดงศุลกากรและไม่ต้องเสียภาษี ข้อยกเว้นนี้ถูกใช้โดยแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ลดราคาอย่างเช่น Shein Group Ltd และ Temu ของจีน เพื่อส่งพัสดุจำนวนมหาศาลไปยังสหรัฐฯ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสินค้าผิดกฎหมาย การสิ้นสุดข้อยกเว้น De Minimis หมายความว่าตอนนี้สินค้าจะต้องผ่านกระบวนการศุลกากรและต้องเสียภาษี ซึ่งอาจเป็นภาระของผู้ขายหรือผลักภาระไปให้ผู้บริโภคได้ ทำให้การจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซอาจใช้เวลานานขึ้นและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าอาจจะมีผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจาก E-commerce นอกประเทศสหรัฐ ฯ ได้ในอนาคต

______________________________________________________________________________________________________

 

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและนัยยะในระยะยาว

 

ผลกระทบที่แท้จริงของภาษีที่ประกาศล่าสุดยังคงไม่แน่นอน แต่ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้หลายประการสมควรได้รับการพิจารณา โดยสามารถแบ่งออกได้ตามผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

 

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ:

 

  • ราคาสินค้าที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค:

    ภาษีนำเข้าคือภาษีที่เก็บจากสินค้านำเข้า ซึ่งมักจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภค การศึกษาชี้ว่าภาษีในปัจจุบันอาจทำให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับสินค้าหลากหลายประเภท

     

  • ผลกระทบต่อธุรกิจและห่วงโซ่อุปทาน:

    ธุรกิจที่พึ่งพาวัสดุและส่วนประกอบนำเข้ากำลังเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ต้องแบกรับต้นทุน ลดกำไร หรือเพิ่มราคาสินค้าของตนเอง ความไม่แน่นอนของอัตราภาษีที่ผันผวนยังทำให้บริษัทวางแผนและจัดการห่วงโซ่อุปทานได้ยาก

     

  • การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการสูญเสียงาน:

    คาดว่าภาษีจะฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและอาจนำไปสู่ GDP ที่ลดลง ต้นทุนที่สูงขึ้นและความต้องการที่ลดลงอาจทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แม้บางภาคส่วนการผลิตในสหรัฐ ฯ อาจได้รับประโยชน์ แต่ก็อาจถูกหักล้างด้วยการสูญเสียในภาคส่วนอื่น

     

  • รายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น:

    ภาษีนำเข้าได้เพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรของรัฐบาลสหรัฐ ฯ อย่างมีนัยสำคัญ

     

  • แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ:

    คาดว่าต้นทุนนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะมีส่วนทำให้เกิดแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ฯ ท้าทายยิ่งขึ้นในการบรรลุเป้าหมายด้านเสถียรภาพราคา

     

 

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก:

 

  • การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก:

    ภาษีนำเข้ากำลังสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ซึ่งสร้างขึ้นบนสมมติฐานของการค้าเสรี บริษัทอาจถูกบังคับให้ต้องเจรจาสัญญาใหม่ หาซัพพลายเออร์รายใหม่ หรือย้ายฐานการผลิต

     

  • การตอบโต้และการพิพาททางการค้า:

    ภาษีของสหรัฐฯ ได้จุดประกายความไม่พอใจและทำให้ประเทศที่ได้รับผลกระทบต้องการตอบโต้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่วัฏจักรของการตอบโต้ภาษี ทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระดับโลกเพิ่มขึ้นและทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

     

  • ความไม่แน่นอนและความไม่มั่นคง:

    การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและการข่มขู่ว่าจะมีการกำหนดภาษีใหม่ๆ สร้างบรรยากาศของความไม่แน่นอนสำหรับธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งอาจชะลอการตัดสินใจลงทุนและทำให้ตลาดโลกไม่มั่นคง


______________________________________________________________________________________________________

 

 

บทสรุป: การนำทางสู่ยุคใหม่ของนโยบายการค้า
 

ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีอัตราภาษีค่อนข้างต่ำนั้นน่าจะกำลังสิ้นสุดลง บทความคาดการณ์ว่าจะเข้าสู่ช่วงการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ซึ่งภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจมีอัตราเฉลี่ยสูงกว่า 10% การประกาศภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนานโยบายการค้าของอเมริกา แม้จะมีเจตนาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและส่งเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ แต่มาตรการเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่ต้องอาศัยการจัดการอย่างระมัดระวัง ในขณะที่ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกยังคงเปลี่ยนแปลงและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูงขึ้น สหรัฐฯ และคู่ค้าต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจกับประโยชน์ของการค้าที่เปิดกว้างและร่วมมือกัน

 

ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของภาษีเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการดำเนินการ การทูตที่ต่อเนื่อง และความสามารถของอุตสาหกรรมอเมริกันในการปรับตัวและเติบโตในตลาดโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง แนวทางการค้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบที่ยั่งยืนต่อเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และผู้บริโภคทั่วโลก

 

 

การเปลี่ยนแปลงระเบียบการค้าโลกใหม่นำมาซึ่งความผันผวนที่สูงขึ้นกับการลงทุน

 

ระบอบภาษีใหม่ได้นำความไม่แน่นอนมาสู่ตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ แทนที่จะใช้อัตราภาษีเดียวที่ 10% กลับมีการนำระบบอัตราภาษีที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจงกับแต่ละประเทศมาใช้ ซึ่งมีตั้งแต่ 0% ถึง 41% การขาดความแน่นอนนี้ทำให้บริษัทต่างๆ วางแผนห่วงโซ่อุปทานได้ยาก โดยระบอบภาษีใหม่เป็นแรงจูงใจสำคัญให้บริษัทต่างๆ ต้องประเมินการดำเนินงานทั่วโลกของตนใหม่ นโยบายนี้ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการ "นำการผลิตกลับประเทศ" (onshoring) และ "ย้ายฐานไปยังประเทศพันธมิตร" (friendshoring) ทำให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงได้ลำบาก ส่งผลให้ตลาดผันผวนมากขึ้นในตลาดการลงทุน ในลำดับถัดไปยังต้องพิจารณาต่อถึงผู้ได้รับผลประโยชน์จากโครงสร้างการค้าโลกที่เปลี่ยนไป รวมถึงผู้เสียผลประโยชน์ ความร่วมมือทางการค้าต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากสหรัฐ ฯ จะเข้ามาทดแทนสัดส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากระบบการค้าโลกใหม่ และเน้นศักยภาพการเติบโตในประเทศที่มากขึ้น ทำให้การลงุทนยังคงต้องเน้นการกระจายความเสี่ยงจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเน้นการกระจายการลงทุน หรือลงทุนในประเทศที่เป็ยผู้นำด้านนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีความสามารถในการกำหนดราคาสินค้า เพื่อรอดูการปรับเปลี่ยนโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกในอนาคต

 

______________________________________________________________________________________________________

 

 

เมื่อพิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเรื่องภาษี การลงทุนใน กองทุนคุณภาพระดับโลก (Global Quality Fund) จึงเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนหลายคนกำลังพิจารณาเพื่อรับมือกับความผันผวน มีการกระจายการลงทุนทั่วโลก แต่ยังคงลักษณะซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ในสหรัฐ ฯ เป็นหลัก ซึ่งกองทุนมุ่งเน้นไปบริษัทที่มีความสามารถในการฟื้นตัวสูงในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตึงเครียด เนื่องจากมีการลงทุนในบริษัทที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROIC) ได้อย่างสม่ำเสมอและมีความสามารถในการกำหนดราคาที่แข็งแกร่ง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถปรับขึ้นราคาเพื่อชดเชยต้นทุนจากภาษีได้โดยไม่เสียส่วนแบ่งทางการตลาดไปมากนัก

 

______________________________________________________________________________________________________

 

 

กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ลีดเดอร์ส อิควิตี้ A (PRINCIPAL GLEADER-A)

 

จัดอยู่ในกลุ่มกองทุนคุณภาพระดับโลก (Global Quality Fund)  ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเพิ่มขึ้นของภาษีและแนวโน้ม "การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization)" บริษัทที่กองทุนลงทุนมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของตลาดในระยะสั้นที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้าน้อยกว่า เนื่องจากโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งและปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงเป็นเกราะป้องกันความผันผวนของตลาด และบริษัทคุณภาพสูงมีฐานะที่ดีกว่าในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และมีทั้งทรัพยากรทางการเงินและความยืดหยุ่นในการดำเนินงานเพื่อย้ายฐานการผลิตหรือหาซัพพลายเออร์ทางเลือกเพื่อลดผลกระทบจากภาษี แม้ว่าภาษีอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักในระยะสั้น แต่บริษัทที่กองทุนลงทุนมักจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตน และคาดว่าจะยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมและเติบโตได้ในระยะยาว ไม่ว่าสภาพแวดล้อมทางการค้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม

 

ลักษณะการเลือกหุ้นของกองทุน คือ การเลือกผลิตภัณฑ์และบริการยอดเยี่ยม ได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน สะท้อนให้เห็นถึงบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและความเสี่ยงธุรกิจต่ำ มีโมเดลธุรกิจแข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดที่ดี (หากอ้างอิงเป็นตัวเลขคือการเลือกบริษัทที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROIC) เกินกว่าร้อยละ 20%)  ทำให้มีโอกาสเติบโตสูงและความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ผู้บริหารที่มีคุณภาพและประสบการณ์สูงในการบริหารงานอย่างยาวนาน เพื่อบริหารเงินทุนเพื่อประโยชน์สูงสุดของนักลงทุน และ Valuation เหมาะสม พร้อมศักยภาพสร้างผลตอบแทนระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีมูลค่าน่าสนใจและปรับตัวน้อยกว่าตลาดในช่วงตลาดปรับฐาน 

 

นอกจากนี้การบริหารของผู้จัดการกองทุนมีการนำ Behavioral Coach คือ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการลงทุน ซึ่งให้คำแนะนำเพื่อให้ผู้จัดการกองทุนพิจารณาเหตุและผลในการตัดสินใจลงทุนอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ และมีการทำกลยุทธ์ Drawdown Review เพื่อประเมินมูลค่าหุ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อหุ้นตัวนั้นปรับตัวลงถึง 20% ผลลัพธ์คือตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่ม หรือ ขายหุ้นได้มีประสิทธิภาพขึ้น และกลยุทธิ์ Selling Strategy คือในกรณีที่มีการตัดสินใจขายหุ้นจะขายหุ้นอย่างเด็ดขาด ภายใน 2 สัปดาห์ โดยใอดีตสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้ถึง 1% ต่อปี

 

โดยการลงทุน PRINCIPAL GLEADER-A สามารถจัดให้อยู่ในสัดส่วนของ "พอร์ตโฟลิโอหลัก" (Core Portfolio) หมายถึงส่วนที่เป็นรากฐานของการลงทุนระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาวและลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดที่ผันผวน และการมีส่วนหลักที่มั่นคงช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตโฟลิโอ ทำให้คุณสามารถรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นในส่วนเสริมได้
 

 

กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ลีดเดอร์ส อิควิตี้ A (PRINCIPAL GLEADER-A)


>> คลิกเพื่อดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวน

______________________________________________________________________________________________________
 

 

นักลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำการลงทุน หรือ ขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่

 

  • ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขา
  • CIMB THAI Care Center โทร. 02 626 7777
  • LINE  Wealth & Preferred

 


คำเตือน: ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผลการดำเนินงานในอดีต/การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

______________________________________________________________________________________________________

 

จัดทำข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลโดย

 

คุณดรัณภพ สังเกต Investment Research ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

 

คุณจิรไพบูลย์ รัตนภาณุรักษ์ (IP, FM, IA) ผู้อำนวยการที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)